Shizuoka: เที่ยวทั่ว Hamamatsu ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ครบทุกสไตล์ [ตอน 2]

เราจะพาทุกคนไปเที่ยว เมืองฮามามัตสึ เมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายสไตล์ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีกันแบบ 2 วันเต็มๆ โดยรีวิวนี้จะเป็นตอนที่สอง [อ่านตอนแรกได้ >>ที่นี่<< ]

เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu 浜松) ตั้งอยู่ในจังหวัดชิซุโอกะ เป็นเมืองเล็กๆที่มีชินคันเซ็นวิ่งผ่าน จึงทำให้เดินทางไปได้ง่ายทั้งจากฝั่งโตเกียว นาโงย่า และโอซาก้า มีพื้นที่ติดทะเลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก และมีทะเลสาบฮามานาโกะ (Lake Hamanako) และทริปนี้เราจะพาไปเที่ยวที่ไหนกัน ตามไปชมกันเลย

[สารบัญ เที่ยวเมืองฮามามัตสึ วันที่ 2]

  • 2.1 Hamamatsu Castle แลนด์มาร์กทางประวัติศาสตร์ ของเมืองฮามามัตสึ
  • 2.2 จิบชาเขียวและชมสวนญี่ปุ่น ที่คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น Shouin-tei Castle & Café
  • 2.3 หมู่บ้านแห่งเทพนิยาย Nukumori no Mori เหมือนยกยุโรปมาไว้ที่ญี่ปุ่น
  • 2.4 มาเยือนแหล่งปลาไหลทั้งที ต้องแวะชิมข้าวหน้าปลาไหลที่ Unagi Hamanoki Restaurant
  • 2.5 ล่องเรือ Pleasure boat ให้อาหารนก และชมวิวทะเลสาบฮามานาโกะที่ท่าเรือ Kanzanji Port
  • 2.6 ชมเสาโทริอิกลางน้ำ Bentencho Torii , Totoumi Hakkei ‘Benten-no-Sekisho’
  • 2.7 แวะชมพิพิธภัณฑ์ Suzuki Museum ต้นกำเนิดรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในญี่ปุ่น

>> เลือกอ่านรีวิว คลิกที่ชื่อสถานที่แต่ละแห่งได้เลย <<

  • Hamamatsu Castle แลนด์มาร์กทางประวัติศาสตร์ ของเมืองฮามามัตสึ

    ปราสาทฮามามัตสึ (Hamamatsu Castle) สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1532 โดยขุนนางในตระกูลอิมางาวะ (Imagawa) ในยุคปฏิวัติเมจิ ปราสาทหลังเดิมได้ถูกทำลายจนพังลงไป แต่ยังคงเหลือฐานหินอยู่ ซึ่งปราสาทหลังใหม่ที่สร้างขึ้นนั้น แม้ว่าจะมีขนาดเล็กลงแต่ก็ยังตั้งอยู่บนฐานหินเดิม

    • เวลาทำการ : 8.30 – 16.30 น.
    • ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 200 เยน
    • การเดินทาง : จากสถานี Hamamatsu นั่งรถบัสที่ป้ายหมายเลข 1 หรือ 13 ลงที่ Shiyakushomae แล้วเดินต่อ 6 นาที
    • พิกัด

    ชมคลิปรีวิวที่นี่ >> Hamamatsu Castle

    ปราสาทแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของโชกุนที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นนั่นก็คือ โทคุกาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) ซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่นี่นานกว่า 17 ปี ในช่วงอายุ 29 – 45 ปี ปราสาทแห่งนี้จึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ‘ปราสาทแห่งการเลื่อนตำแหน่ง’ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนได้รับการเลื่อนตำแหน่งสำคัญๆทั้งนั้น ดังนั้นบริเวณปราสาทแห่งนี้จึงมีรูปปั้นของโชกุน ‘โทคุกาวะ อิเอยาสึ’ ตั้งอยู่ด้วย

    นอกจากนี้ สิ่งที่ฮอตฮิตสำหรับการชมปราสาท นั่นก็คือการตามหาหินรูปหัวใจ ที่เป็นส่วนหนึ่งของฐานปราสาท วัยรุ่นญี่ปุ่นบอกว่าถ้าเห็นแล้วจะสมหวังในความรักและโชคดีค่ะ

    บริเวณรอบปราสาทฮามามัตสึ ยังเต็มไปด้วยซากุระกว่า 370 ต้น ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนดอกซากุระจะบานสะพรั่ง ปราสาทแห่งนี้เป็นจุดชมซากุระที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่นี่ยังมีต้นโมมิจิกับต้นแปะก๊วยที่จะผลัดใบในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ส่วนบริเวณรอบปราสาทยังมีสวนให้ผู้คนได้มาเดินพักผ่อนหย่อนใจกันด้วย

  • จิบชาเขียวและชมสวนญี่ปุ่น ที่คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น Shouin-tei Castle & Cafe

    คาเฟ่โชอินเทย์ (Shouin-tei) ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทฮามามัตสึ คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นเปิดมาแล้วกว่า 23 ปี มองออกไปเห็นวิวสวนญี่ปุ่นสวยงามมาก และเซ็ตชาเขียวพร้อมขนมหวานญี่ปุ่นของร้านนี้ก็อร่อยแถมราคาดี ใครเป็นสายชาเขียวญี่ปุ่น อยากหาที่นั่งชิลล์จิบชา ขอแนะนำที่นี่เลยค่ะ

    • เว็บไซต์ | พิกัด
    • เวลาทำการของคาเฟ่ : 10.00 – 16.00 น.
    • วันหยุด : คาเฟ่ปิดวันจันทร์
    • การเดินทาง : จากสถานี Hamamatsu นั่งรถบัสที่ป้ายหมายเลข 13 ลงที่ Hamamatsujo Kouen Iriguchi หรือป้ายหมายเลข 16 ลงที่ Shikatani-cho แล้วเดินต่อไปยังคาเฟ่

    เซ็ตชาเขียวพร้อมขนม ราคาไม่แพง เพียงเซ็ตละ 400 เยน มาพร้อมกับความใส่ใจของทางร้าน เพราะเมื่อเรากินขนมหรือดื่มชาจนหมดแล้ว เราจะพบตัวอักษรอยู่ตรงบริเวณก้นภาชนะ โดยตัวอักษรที่เราเจอตรงก้นถ้วยชาเขียวคือ 寿 (kotobuki) หมายถึงการยินดี, การแสดงความยินดี และตัวอักษรที่อยู่บนจานคือ 福 (Fuku) หมายถึงความโชคดี

    เมนูขนมหวานจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนมาที่นี่แล้วติดใจ กลับมาแวะชิมได้ตลอด

  • หมู่บ้านแห่งเทพนิยาย Nukumori no Mori เหมือนยกยุโรปมาไว้ที่ญี่ปุ่น

    หมู่บ้านนุคุโมริโนะโมริ (Nukumori no Mori) เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีกลิ่นอายความเป็นยุโรป น่าหลงไหลและน่าค้นหา ความหมายของชื่อสถานที่แห่งนี้ก็คือ ‘ป่าแห่งความอบอุ่น’  ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1983 โดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่น Sasaki Shigeru การตกแต่งของหมู่บ้านแห่งนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปสู่โลกแห่งนิทาน

    ภายในหมู่บ้านมีบรรยากาศคล้ายกับในนิทาน เหมือนเดินอยูในโลกของจิบลิสตูดิโอ มีร้านค้าต่างๆเปิดให้บริการ สินค้าที่จำหน่ายมีทั้งเสื้อผ้า งานแฮนด์เมด งานเซรามิค นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ และแกลเลอรี ให้เดินชมมากมาย

    • เว็บไซต์ | พิกัด
    • ค่าเข้าชม : 300 เยน
    • เวลาทำการ : 10:30 – 18:30 น. ** หยุดทุกวันพฤหัส
    • การเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Hamamatsu ทางออกฝั่ง North ที่ป้ายหมายเลข 1 ขึ้นรถบัส Entetsu Bus สายที่มุ่งหน้าไปยัง Kanzanji Onsen ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ลงที่ป้าย Sujikaibashi เดินต่ออีก 5 นาที

    เราไปสะดุดตากับร้านขายเครื่องประดับที่ทำจากหนัง ร้านนี้มีชื่อว่า ‘Little Shine Accessory Shop’ คุณป้าเจ้าของร้านใจดีมากๆเลย ไอเทมที่วางจำหน่ายในร้านนั้น ลูกสาวของคุณป้าเป็นคนทำเองกับมือทุกชิ้นแล้วจึงนำมาวางจำหน่าย ซึ่งไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังอย่างเดียว มีต่างหูดีไซน์น่ารักด้วย ราคาก็ไม่แพงเกินเอื้อมเลยค่ะ

    และยังมีร้านจำหน่ายสินค้าจากตุรกี ซึ่งคนญี่ปุ่นชอบกันมาก สินค้าที่ขายก็จะมีทั้งผ้า โคมไฟ พวงกุญแจต่างๆ รวมถึงสร้อยข้อมือที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ของสาวญี่ปุ่น

    ร้านจำหน่ายเครื่องหอม อโรม่า แฮนด์ครีม หรือบาล์มต่างๆ แพ็กเกจจิ้งของสินค้าแต่ละอย่างก็น่ารักมากๆ ใครที่ชอบอโรม่าออยล์น่าจะชอบร้านนี้เพราะมีหลายกลิ่นให้เลือก แถมยังมีสินค้าที่ผลิตขึ้นตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการโดยเฉพาะด้วย เช่น ต้องการผ่อนคลาย สำหรับวันไหนที่เหนื่อยเป็นพิเศษ

    บริเวณชั้น 2 ของร้านอโรม่า จะเป็นร้านขายสินค้ากระจุกกระจิก มีทั้งงานผ้า เซรามิก ฯลฯ แต่ที่เป็นสินค้าขายดีของร้านก็คือนาฬิกาข้อมือดีไซน์แปลก มีกลิ่นอายความวินเทจ

    และที่เป็นไฮไลต์ของหมู่บ้านแห่งนี้เลยก็คือ คาเฟ่นกฮูก มีนกฮูกมากมายทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ ให้เราได้เข้าไปใกล้ชิดนกฮูกตาโตตัวเป็นๆ น้องตากลม คม และโตมาก นอกจากนี้ยังมีหนูตัวเล็กๆและเม่นที่ขี้อายด้วยค่ะ ใครชอบคาเฟ่นกฮูกจะต้องเพลิดเพลินแน่นอน (ค่าเข้าชมคนละ 1,000 เยน)

    สถานที่อีกแห่งที่ห้ามพลาดเลยก็คือ บ้านหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหารแล้ว แต่เดิมบ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสถาปนิกผู้สร้างหมู่บ้านแห่งนี้ขึ้นมา ภายในมีการตกแต่งอย่างสวยงาม โดยดีไซน์ให้เหมือนบ้านในนิยาย

    ภายในบ้านจะเต็มไปด้วยห้องเล็กห้องน้อย มีการทำผนังให้เหมือนไม้ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ไม้ แต่เป็นปูน อีกทั้งยังมีการใส่รายละเอียด เช่น นำหินรูปหัวใจไปติดไว้ที่พื้นของห้อง เป็นการเพิ่มกิมมิคความน่ารักลงไป ทำให้บ้านหลังนี้มีเสน่ห์และน่าค้นหา นอกจากนี้ยังมีการเจาะช่องหลังคาโปร่งเพื่อให้แสงส่องเข้ามาในตัวบ้านได้ รวมถึงมีโคมไฟประดับสไตล์ยุโรป ในส่วนของระเบียงบ้านก็สามารถมองออกไปข้างนอกและเห็นทุกซอกทุกมุมของอาณาบริเวณรอบบ้านได้

    ที่นี่มีของฝากจำหน่าย เป็นคุ้กกี้ลวดลายน่ารักสไตล์เดียวกับบ้านเลย ส่วนใครที่ชื่นชอบงานอาร์ต งานปั้น งานเซรามิก ที่นี่มีสินค้างานคราฟต์สวยๆ ที่เหมาะกับซื้อติดไม้ติดมือเป็นที่ระลึกกลับบ้าน

    มาตบท้ายกันด้วยไอศครีมเจลาโต้แสนอร่อย มีหลากหลายรสชาติ ให้เลือกชิมกันจุใจมาก

    หมู่บ้าน Nukumori no Mori นี่สวยสมกับความเป็นเมืองแห่งเทพนิยายจริงๆ ใครที่ชอบถ่ายรูป ที่นี่น่าจะตอบโจทย์แน่นอน

  • มาเยือนแหล่งปลาไหลทั้งที ต้องแวะชิมข้าวหน้าปลาไหลที่ Unagi Hamanoki Restaurant

    Unagi Hamanoki Restaurant (うなぎ食事処 浜乃木) ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของท่าเรือคันซันจิ (Kanzanji Port) มีทั้งโซนนั่งแบบญี่ปุ่นและโซนโต๊ะแบบตะวันตก เมนูเด็ดของทางร้านคือ ‘ข้าวหน้าปลาไหล’ เนืองจากเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องปลาไหล บริเวณที่ชาวเมืองฮามามัตสึนิยมเลี้ยงปลาไหลกันก็คือทะเลสาบฮามานาโกะนั่นเอง

    • เว็บไซต์ | พิกัด
    • เวลาทำการ : 11.00 – 16.00 น. ร้านหยุดวันอังคาร
    • การเดินทาง : นั่งรถบัสสาย Kanzanji Onsen Line ลงที่ป้าย Kanzanji Onsen และเดินไปทางทิศเหนือบนถนน Monzen ใช้เวลา 5 นาที

    มีเมนูภาษาอังกฤษ พร้อมภาพประกอบ เห็นเมนูไหนน่าอร่อยก็จิ้มสั่งได้เลย ซึ่งข้าวหน้าปลาไหลจะมีทั้งเซ็ตใหญ่และเซ็ตเล็ก

    วันนี้เราได้ลองกิน ‘ข้าวหน้าปลาไหลโอะฉะสึเกะ’ (Unadon Ochazuke) เป็นเซ็ตข้าวหน้าปลาไหลที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเซ็ตน้ำชา เป็นซุปที่ใช้เทลงบนข้าว คล้ายกับข้าวต้ม กินช่วงอากาศหนาวเหมาะมากด้วยกลิ่นหอมของปลาไหลที่ย่างมาร้อนๆ กับซุปชาแสนละมุน สนนราคาเซ็ตนี้อยู่ที่ 1,595 เยนค่ะ

    ส่วนอันนี้เป็นเมนู Unaju เน้นปลาไหลแน่นๆ เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบปลาไหลมากๆ เมนูนี้เสิร์ฟมาในกล่องข้าวลวดลายสวยงาม สมกับเป็นงานระดับพรีเมียม มีผักดองและซุปใสมาให้พร้อม เซ็ตนี้ราคา 4,180 เยน

    และอีกเมนูที่จะมีจำหน่ายตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2020 เป็นต้นไปก็คือ ‘ข้าวมันหอยนางรม’ หรือในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า Kakikabadon (かきカバ丼) เมนูนี้เป็นเมนูฮอตฮิตที่เป็นแรร์ไอเทมประจำร้าน เมนูนี้สนนราคาที่ 1,760 เยนค่ะ

  • ล่องเรือ Pleasure boat ให้อาหารนก และชมวิวทะเลสาบฮามานาโกะที่ท่าเรือ Kanzanji Port

    ทะเลสาบฮามานาโกะ (浜名湖) นั้นเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดมาก่อน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1498 มีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้น เกิดการแยกตัวของแผ่นดิน ทำให้ทะเลสาบฮามานาโกะและมหาสมุทรแปซิฟิกมาเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นทะเลสาบน้ำกร่อยในปัจจุบัน

    สภาพแวดล้อมแบบนี้ของทะเลสาบนั่นเองที่ทำให้เมืองฮามามัตสึขึ้นชื่อเรื่องปลาไหลและปลาปักเป้า ชาวเมืองจะเลี้ยงปลาไหล และปลาปักเป้ากันที่ทะเลสาบแห่งนี้ และบริเวณรอบๆทะเลสาบก็มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Hamanako PalPal Amusement Park, Kanzanji Onsen, และ Hamanako Orgel Museum (พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี) ที่ต้องขึ้นเคเบิลคาร์ไปชมด้านบนด้วยความสูง 723 เมตร ที่นี่นับว่าเป็นเคเบิลคาร์แห่งเดียวของญี่ปุ่นที่ข้ามทะเลสาบ

    • เว็บไซต์ | พิกัด
    • ค่าโดยสารเรือ (ไป-กลับ) : ผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 500 เยน
    • เวลาทำการ : 9.00 – 16.00 น.

    แต่วันนี้เราไม่ได้ขึ้นเคเบิลคาร์นะคะ เรานั่งเรือล่องทะเลสาบ ชมวิวและให้อาหารนกกันค่ะ โดยเราขึ้นเรือที่มีชื่อว่า Kanzanji Port, Lake Hamana Pleasure Cruise โดยขึ้นที่ท่าเรือ Kanzanji ใช้เวลาในการล่องเรือทั้งหมด 30 นาที

    ความสนุกของการโดยสารเรือล่องทะเลสาบก็คือเราจะได้ให้อาหารนกไปด้วยค่ะ เราสามารถซื้อข้าวเกรียบเพื่อให้อาหารนกได้ในราคา 100 เยน พอออกจากฝั่งเรือก็เริ่มเข้าสู่กลางทะเลสาบ เราจะเห็นฝูงนกบินวนไปมารอรับอาหารกัน นกที่นี่ไม่โหด ไม่ดุ และไม่จิกนะคะ ออกจะเรียบร้อยเสียด้วยซ้ำ บางทีไม่มีคนให้อาหารแล้วนกก็ยังมายืนเรียงแถวตรงระเบียงเรืออยู่ดี น่ารักมากเลยค่ะ

    นอกจากนี้ เรายังได้ชมวิวของเคเบิลคาร์ที่มุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวบนภูเขา Okusayama ด้วย ก็ถือว่าเป็นการเที่ยวทะเลสาบที่ได้เห็นวิวแบบ 360 เลยค่ะ และเราก็ยังมองเห็นทางด่วน Tomei Expressway กับสะพาน Hamanako ที่ข้ามผ่านทะเลสาบแห่งนี้ด้วย เส้นทางเดินเรือนี้นอกจากจะเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว นักกีฬาอย่างนักวิ่งหรือนักปั่นจักรยานก็ยังนิยมใช้เรือช่วยย่นระยะทางอีกด้วยค่ะ

  • ชมเสาโทริอิกลางน้ำ Bentencho Torii , Totoumi Hakkei  ‘Benten-no-Sekisho’

    ถ้าเอ่ยถึง BENTEN-JIMA ก็ต้องนึกถึงเสาโทริอิที่ตั้งอยู่กลางน้ำในทะเลสาบฮามานาโกะ ทะเลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีต แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้ฮามานาโกะที่เคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดมาก่อนกลายมาเป็นทะเลสาบน้ำกร่อย ซึ่งนี่ก็ทำให้ทะเลสาบฮามานาโกะกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในหมู่คนญี่ปุ่นด้วยกันเอง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยือนด้วยค่ะ

    วันนี้เราจะพาไปชมบรรยากาศยามบ่าย ณ บริเวณริมทะเลสาบกันนะคะ ซึ่งวิวที่เป็นไฮไลต์ก็คือเสาโทริอิสีแดงที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางทะเลสาบฮามานาโกะ (Lake Hamanako)

    บริเวณที่เรามากันนี้มีชื่อเรียกว่า Bentenjima Kaihin Park พื้นที่ตรงนี้เป็นชายหาดและสวนสาธารณะที่นักท่องเที่ยวหรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็นิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ บ้างก็มานั่งตกปลากันในช่วงฤดูร้อน บริเวณนี้ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ฮอตฮิตมากๆ เพราะมีกิจกรรมทางน้ำต่างๆให้ทำมากมาย เช่น เรือยอชท์ พาราเซล วินเซิร์ฟ เวคบอร์ด และกิจกรรมอื่นๆ

    เสาโทริอิสีแดงต้นนี้มีชื่อว่า ‘Bentenjima Torii’ ไม่มีศาลเจ้าตั้งอยู่ด้านในนะคะ เสาโทริอิต้นนี้ก็เลยไม่เหมือนกับเสาโทริอิต้นอื่นๆ

    เสาสีแดงต้นนี้มีความสูง 18 ฟุต ตั้งอยู่บริเวณเนินทรายของ Bentenjima หรือเรียกกันง่ายๆแบบไทยๆก็คือเกาะเบ็นเท็น โดยเสาโทริอิ Bentenjima Torii นี้ตั้งอยู่ในทะเลสาบฮามานาโกะมาตั้งแต่ปี 1968 ค่ะ

    การชมเสาโทริอิ Bentenjima Torii สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้

    1. นั่งเรือเพื่อไปชมเสาโทริอิแบบระยะประชิด แต่จะมีบริการเรือเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน – สิงหาคมเท่านั้น (ค่าเรือ 1,000 เยน)
    2. ชมเสาโทริอิจากฝั่ง วิธีนี้ก็จะเหมือนที่เรามาชมกันนี่ล่ะค่ะ  นั่งชิลล์ๆริมชายฝั่ง ดูน้ำดูฟ้า ดูผู้คนไปเรื่อยๆ ปิดท้ายด้วยรอชมพระอาทิตย์ตก
    • การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Bentenjima แล้วเดินต่อ 250 เมตร
    • พิกัด

  • แวะชมพิพิธภัณฑ์ Suzuki Museum ต้นกำเนิดรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ในญี่ปุ่น

    ฮามามัตสึถือเป็นเมืองต้นกำเนิดรถยนต์ของญี่ปุ่น วันนี้พวกเราได้มีโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์ของ Suzuki ซึ่งเป็นที่ที่รวบรวมรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกมาตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการแสดงขั้นตอนของการผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมแวะไปชมกันนะคะ

    • เว็บไซต์ | พิกัด
    • เวลาทำการ : พิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการตั้งแต่ 9.00 – 16.30 น.
    • ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี (ต้องจองคิวล่วงหน้า)
    • การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Takatsuka แล้วเดินต่ออีก 800 เมตรก็จะถึงพิพิธภัณฑ์

    ชมคลิปรีวิวที่นี่ >> Suzuki Museum

    Suzuki มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปี บริษัทยานยนต์แห่งนี้ก่อตั้งโดยคุณ Michio Suzuki ในปี 1909 แรกเริ่มเดิมที Suzuki ไม่ได้เริ่มต้นจากการผลิตมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ แต่ Suzuki เริ่มต้นธุรกิจจากการทอผ้ามาก่อน โดยมีการผลิตผ้าที่มีลายทั้งแนวตั้งและแนวนอน ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความต้องการของผู้บริโภคและเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง เราจึงเห็นได้ว่าภายในพิพิธภัณฑ์มีเครื่องทอผ้าหลากหลายรุ่นวางโชว์เอาไว้ให้ชมด้วยค่ะ

    จุดเปลี่ยนของธุรกิจเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อความต้องการผ้าในตลาดลดน้อยลง ทาง Suzuki ก็ได้เริ่มมองหาตลาดใหม่ นั่นก็คือธุรกิจยานยนต์ Suzuki เริ่มผลิตมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่หน้าตาคล้ายกับจักรยาน แต่ติดเครื่องที่มากับเครื่องยนต์ 36 ซีซีที่มีชื่อรุ่นว่า Power free มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้เปิดตัวในปี 1952 และขายดิบขายดีจนทำให้ต้องผลิตออกมาจำหน่าย 6,000 คันต่อเดือน และนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจยานยนต์ของ Suzuki นั่นเอง

    ถ้วยรางวัลนี้เป็นของ Rinsaku Yamashita ที่ชนะอันดับ 2 ในการแข่งขัน Mt. Fuji Climbing Race ในวันที่ 8 ก.ค. 1954 เขาได้ใช้มอเตอร์ไซค์รุ่น Colleda Co รุ่น 90 ซีซีในการแข่งขันครั้งนี้ นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการตลาดมอเตอร์ไซค์ของ Suzuki นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    Diamond free DF เป็นมอเตอร์ไซค์ที่สองพี่น้อง Shoji และ Yuji Takahashi ใช้เดินทางรอบโลกเป็นเวลา 2 ปี มีระยะทางการเดินทางทั้งหมด 47,000 กิโลเมตร พวกเขาได้เริ่มออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ในวันที่ 1 มีนาคม 1956 โดยเดินทางจากท่าเรือโกเบไปยังกรุงเทพฯและประเทศอื่นๆอีก 32 ประเทศ รวมถึงปารีสในประเทศฝรั่งเศสด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่ว้าวมากๆในยุคนั้น

    ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เราจะได้เห็นมอเตอร์ไซค์หลากหลายรุ่น ซึ่งบางรุ่นก็ไม่คุ้นตา มอเตอร์ไซค์ที่ผลิตในยุคแรกๆจะเล็กและบาง เครื่องยนต์น้อย แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปก็มีการพัฒนาปรับปรุง จนทำให้มอเตอร์ไซค์มีเครื่องที่ใหญ่ขึ้นหลายร้อยซีซี สำหรับใครที่ชื่นชอบรถแข่ง ที่นี่ก็มีรถแข่งในยุคก่อนๆให้ได้ชมกันด้วยค่ะ

    ทางฝั่งรถยนต์ก็มีด้วยนะคะ ภาพลักษณ์ของรถยนต์ Suzuki ในสมัยก่อนจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง แต่ต่อมาก็ได้มีการพัฒนาออกแบบขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยมีทั้งเป็นรถแข่งและรถสำหรับทำกิจกรรม outdoor เช่น Wagon R ที่สามารถใส่อุปกรณ์กีฬา จักรยาน หรืออุปกรณ์กางเต็นท์ไว้ในรถได้ ทำให้กลุ่มผู้ชายหันมาชื่นชอบรถยนต์ Suzuki กันมากขึ้น

    รถยนต์ที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่งก็คือ Suzuki Swift รถยนต์ขนาดเล็กกะทัดรัดที่มีการผลิตออกมาหลากหลายรุ่น รถยนต์ Suzuki Swift เริ่มผลิตในปี 2000 จากที่ขายภายในญี่ปุ่นช่วงแรก ปัจจุบันรถรุ่นนี้ได้กระจายการขายไปทั่วโลก และโรงงานผลิตก็อยู่ที่เมืองไทยด้วยค่ะ

    นอกจากนี้ก็ยังมีบูธที่แนะนำประเทศไทยให้คนญี่ปุ่นได้รู้จัก มีการถามตอบความรู้รอบตัวเกี่ยวกับเมืองไทย สำหรับคนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบเมืองไทยก็คงจะชอบโซนนี้มากๆ เช่นกัน

    บริเวณชั้น 2 ของพิพิธภัณฑ์จะมีโซนที่เรียกว่า ‘Enshu Monozukuri’ ซึ่งเมืองฮามามัตสึก็อยู่ในพื้นที่ Enshu ด้วยเช่นกัน พื้นที่ Enshu นี้เป็นโซนที่บอกเล่าถึงต้นกำเนิดของสินค้าชื่อดังระดับโลกหลายๆแบรนด์ รวมถึงสินค้าของประเทศญี่ปุ่นที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวเมือง ได้แก่ เครื่องดนตรี Yamaha เปียโน Kawai รถยนต์ Toyota รถยนต์ Suzuki และรถยนต์ Honda เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเหล่าเทพที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ท้องถิ่นและเมืองฮามามัตสึนั่นเองค่ะ

    ส่วนใครที่เป็นแฟนคลับรถ Suzuki Hustler ก็มีให้ชมด้วยนะคะ รถ Suzuki Hustler เป็นรุ่นฮอตฮิตของเหล่าวัยรุ่นสาย outdoor สายเดินป่าตั้งแคมป์ เป็นรุ่นที่กำลังมาแรง มีสีสันสดใส โซนจัดแสดงรถรุ่นนี้จะอยู่บริเวณชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ค่ะ เราได้เข้าไปชมอย่างใกล้ชิดเลยล่ะ นอกจากนี้ เขามีราคาของรถบอกไว้ด้วยนะคะ ราคาจะอยู่ที่คันละ 1,746,000 เยน หรือประมาณ 6 แสนบาทเท่านั้นเอง

    การมาเดินที่พิพิธภัณฑ์นี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินในงานมอเตอร์โชว์เลยค่ะ เพียงแต่ที่นี่จะให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวที่เราไม่เคยทราบมาก่อนด้วยเท่านั้นเองค่ะ

    ก็จบกันไปแล้วนะคะสำหรับทริปเที่ยวเมืองฮามามัตสึแบบรวบรัด 2 วัน 1 คืนที่เมืองฮามามัตสึ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมืองเล็กๆเมืองนี้จะแต่อัดแน่นไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจหลากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม การเที่ยวชมธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ หรืออาหารเลิศรส

    ถ้าไม่ได้มาเยือนฮามามัตสึ เราก็คงไม่รู้เลยว่าเมืองนี้มีเสน่ห์และน่าสนใจมากขนาดนี้ ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสได้มาเที่ยวญี่ปุ่นและอยากสัมผัสบรรยากาศของเมืองรองที่ไม่เคยเป็นสองรองใคร เราขอฝาก ‘เมืองฮามามัตสึ’ ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ แล้วทุกคนจะหลงรักเมืองเล็กๆแห่งนี้อย่างแน่นอน

  • (ที่มา: fromJapan.info)

    ​ เที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมAutumnHamamatsuHamamatsu CastleLake HamanakoNukumori no moriShizuokatiewyeepoon​ชิซุโอกะญี่ปุ่นฮามามัตสึเที่ยวจากโตเกียวเที่ยวญี่ปุ่นใบไม้เปลี่ยนสี