Chubu: ตะลุยใจกลางญี่ปุ่น ปลายฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 1 : จังหวัดมิเอะ (Mie)

ใกล้จะสิ้นปีกันแล้ว อากาศก็เริ่มจะหนาวเย็นลงเรื่อยๆ เข้าสู่เทศกาลท่องเที่ยวกันอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยที่กำลังวางแผนอยากจะไปสัมผัสกับไอหนาวให้ฉ่ำใจ ทริปนี้เรามีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวกันที่บริเวณใจกลางของญี่ปุ่นที่ ภูมิภาคจุบุ (Chubu) ซึ่งช่วงที่เราไปนั้นเป็นช่วงปลายของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เรายังได้เห็นบรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสีทั่วไปตามสถานที่ต่างๆที่เราไปเยือน

ภูมิภาคจุบุ (Chubu) ประกอบไปด้วย 9 จังหวัด คือ Niigata, Toyama, Ishigawa, Fukui, Yamanashi, Nagano, Gifu, Shizuoka และ Aichi หากจะให้พูดถึงชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้นเคยในบริเวณนี้ ก็คือ ภูเขาฟุจิ, นะโงะยะ, ทะคะยะมะ, หมู่บ้านมรดกโลกชิระคะวะโกะ นั่นเองครับ

ภาพจาก http://youinjapan.net/chubu/index.php

เริ่มต้นการเดินทางของทริปนี้ที่สนามบิน Chubu Centrair International Airport (สนามบินนานาชาติ จูบุ เซ็นแทร์) หรือ เรียกสั้นๆว่า สนามบินจูบุ ตั้งอยู่ในตัวเมืองนาโงยะ เปิดใช้งานครั้งแรกเมือปีค.. 2005 มีอาคารผู้โดยสารหลักเพียงอาคารเดียว แบ่งออกเป็น 4 ชั้น สำหรับให้บริการทั้งสายการบินภายในและระหว่างประเทศ

สนามบินแห่งนี้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจาก Skytrax ในสาขา สนามบินระดับภูมิภาคยอดเยี่ยมที่สุดของโลก (World’s Best Regional Airline) และสนามบินระดับภูมิภาคยอดเยี่ยมที่สุดของเอเชีย (Asia’s Best Regional Airline) มาแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าที่สนามบิแห่งนี้มีมาตรการรักษาระดับความปลอดภัยอย่างดีเยี่ยม และเพรียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกขั้นตอน

เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณโถงอาคารผู้โดยสารขาเข้า (Arrivals Lobby) จะมีทางเชื่อมให้เดินมาทาง Access Plaza เพื่อต่อรถโดยสารเข้าเมือง ระหว่างทางจะพบกับ Central Japan Travel Center ศูนย์ให้บริการข้อมูลท่องเที่ยวทางตอนกลางของญี่ปุ่น ที่ครบครันทั้งเอกสารของแต่ละเมืองแต่ละจังหวัด และมีเจ้าหน้าที่ที่พร้อมให้บริการเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย เปิดทำการ 8.00-22.00 . ทุกวัน และสามารถทำการแลก JR Pass ได้ที่นี่ 9.00-20.30 .

อ่านรีวิวได้ที่นี่ >> พาเดินเที่ยวสนามบิน Chubu Centrair (NGO) สนามบินระดับภูมิภาคยอดเยี่ยมที่สุดของโลก

บริเวณ Access Plaza จะเป็นศูนย์กลางรวมการเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง ทั้งรถไฟ Meitetsu รถบัส รถแท๊กซี่ และ รถเช่า

สำหรับวิธีการเดินทางเข้าเมืองนาโงยะ แบบง่ายๆมีด้วยกัน 2 วิธีดังนี้

1. Meitetsu Railways
ใช้เวลาเดินทาง: ประมาณ 30 นาที
สถานีที่จอด: Nagoya
ค่าโดยสาร: เที่ยวละ 870 เยน (ที่นั่งปกติ) 1,230 เยน (ที่นั่งจอง)

2. Airport Limousine Bus
ใช้เวลาเดินทาง: ประมาณ 45-75 นาที
สถานีที่จอด: Nagoya Downtown (Sakae/Fushimi)
ค่าโดยสาร: เที่ยวละ 1,200 เยน

บริเวณชั้น 4 ของสนามบิน เป็นที่ตั้งของ Sky Town รวบรวมบรรดาร้านค้าของฝาก ร้านอาหารมากมาย ที่เลือกเดินดูกันได้ไม่เบื่อเลย บรรยากาศโดยรวมได้รับการออกแบบและตกแต่งให้ย้อนยุค และสามารถชมวิวอ่าวอันสวยงามได้

ส่วนใครที่หิวก็ไม่ต้องห่วงที่นี่เต็มไปด้วยร้านอาหารมากมายให้เลือกสรร รวมทั้งฟู้ดคอร์ทอีกด้วย

ในชั้นเดียวกัน สามารถเดินออกไปยังบริเวณ Sky Deck เพื่อชมวิวลานจอดเครื่องบินและรันเวย์ของสนามบินได้ด้วย

สำหรับใครที่เดินทางมาลงที่สนามบินแห่งนี้ในช่วงนี้ แนะนำว่าอย่าพลาดเดินขึ้นมาชมเทศกาลแสดงประดับไฟฤดูหนาว Centrair Sky Illumination ที่บริเวณลานชมเครื่องบินชั้น 4 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2018 เริ่มตั้งแต่เวลา 17.30 น.เป็นต้นไป

หลังจากผ่านพิธีศุลกากรเรียบร้อยจากสนามบิน เราเดินข้ามมาบริเวณ Access Plaza ฝั่งตรงข้ามของสนามบินเซ็นแทร์ เป้าหมายวันนี้คือที่ จังหวัดมิเอะ (Mie) เราเลือกใช้การเดินทางจากสนามบินด้วยการนั่งเรือ High Speed Boat

เราใช้บริการเรือ High Speed Boat ข้ามอ่าวอิเสะ (Ise) มายัง ท่าเรือทสุ (Tsu Port) เพื่อเที่ยวจังหวัดมิเอะ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกและประหยัดเวลาการเดินทางได้มากๆ ใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้น ราคาเที่ยวละ 2,470 เยน เพราะถ้านั่งรถบัสต้องใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ได้เวลาขึ้นเรือกันแล้วครับ

บรรยากาศภายในเรือ แอร์เย็นเก้าอี้นั่งสบายมากๆ

ใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้น ก็จะเดินทางมาถึงท่าเรือทสุ

มาถึงจังหวัดมิเอะทั้งที หนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดมาเยือน นั่นก็คือ ศาลเจ้าอิเสะ จิงงู (Ise Jingu Shrine) เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโตที่ถือว่ามีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น โดยชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่า “สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้ให้ได้”

ศาลเจ้าอิเสะจิงงู มีอายุราว 2,000 กว่าปี ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.. 539 เพื่อถวายความศรัทธาแด่เทพีอะมะเทะระซุหรือเทพีแห่งพระอาทิตย์ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นนั้นสืบเชื้อสายมาโดยตรง พื้นที่ของศาลเจ้าจะประกอบไปด้วย ศาลเจ้าขนาดใหญ่ 2 ศาล คือศาลเจ้าหลัก Naiku (ศาลเจ้าด้านใน) และ Geku (ศาลเจ้าด้านนอก) สร้างขึ้นแบบเรียบง่ายไม่หวือหวาแต่เต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธา

จะเห็นได้จากบรรดานักธุรกิจชาวญี่ปุ่นและคนทั่วไปต่างนิยมเดินทางมาทำพิธีและขอพร เพื่อให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองและประสบผลสำเร็จ ศาลเจ้าแห่งนี้มีความสำคัญกับประเทศญี่ปุ่นอย่างมาก นอกจากจะเป็นที่เก็บรักษากระจกศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในสามสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับองค์จักรพรรดิญี่ปุ่น สำหรับใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษก

และแน่นอนว่าศาลเจ้าดังๆส่วนใหญ่ จะมีจุดสำหรับวางโอ่งไม้สำหรับบรรจุสาเกจากห้างร้านต่างๆเพื่อนำมาสักการะเทพเจ้า

บริเวณอุทยานด้านในเข้าสู่ตัวศาลเจ้า ใบไม้เปลี่ยนสียังคงชมได้อยู่ในช่วงปลายเดือนพ.ย.

เมื่อเดินเข้ามาถึงจุดจำหน่ายเครื่องราง อีกไม่ไกลจะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าหลักด้านใน

เดินทางมาถึงศาลเจ้าหลักด้านใน เมื่อเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่ที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแล้ว ทางศาลเจ้าไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพด้านใน

ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu Shrine)

เวลาทำการ : เปิดทุกวัน
05.00 . – 18.00 . (ช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. และ ก.ย.-ต.ค.)
04.00 . – 19.00 . (ช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค.)
05.00 . – 17.00 . (ช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.)
05.00 . – 17.30 . (ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.)
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
การเดินทาง : โดยสารรถไฟ JR สาย Sangu มาลงที่สถานี Ise-shi จากนั้้นเดินเท้าประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ : ISE JINGU


หลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าอิเสะเป็นที่เรียบร้อย ข้ามถนนไปไม่เพียงกี่ก้าว จะเป็นที่ตั้งของ ย่านการค้า Oharai-machi และ Okage-yokocho ถนนคนเดินที่สร้างขึ้นในสไตล์ย้อนยุคไปในยุคสมัยของเอโดะ

บริเวณถนนสายนี้นับว่าเป็นสวรรค์ของนักช้อปนักชิม ทั้งของคาวของหวาน ที่ส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าต่างจะทำกันสดๆให้ดู ให้ชิมกันหน้าร้าน

อีกทั้งของฝากและสินค้าแฮนด์เมดมากมาย สำหรับใครที่ชอบงานคราฟท์แนะนำว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

หากมาในช่วงวันหยุดบริเวณลานจัดการแสดงด้านในจะมีการแสดงโชว์มากมาย เช่นโชว์การตีกลอง เป็นต้น

ย่านการค้า Oharai-machi และ Okage-yokocho
เวลาทำการ : เปิดทุกวัน 9.30 . – 17.30 .
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี


เช้าวันถัดมาเรายังคงอยู่กันที่จังหวัดมิเอะ เดินทางสู่ อุทยานแห่งชาติอิเสะชิมะ (Ise-Shima National Park) อยู่ในอำเภอชิมะ จังหวัดมิเอะ เพื่อขึ้นไปชมทัศนียภาพมุมสูงของ จุดชมวิวโยโคยะมะ (Yokoyama Observatory) ตั้งอยู่บนภูเขาโยะโกะยะมะ (Mt. Yokoyama) ที่ระดับความสูง 203 เมตร

ทัศนียภาพล้อมรอบด้วยอ่าวอะโกะ (Ago Bay) อยู่ทางตอนใต้, มหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันออกและติดกับแนวภูเขาคิอิทางทิศตะวันตก นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบของอ่าวอะโกะได้จากจุดชมวิวแห่งนี้

ด้านล่างของจุดชมวิวเป็นที่ตั้งของศูนย์ให้บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว Yokoyama Visitor Center จัดแสดงข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจ นิทรรศการภาพถ่าย

**ชื่อ Ise-Shima ไม่ได้หมายความรวมกันว่าเกาะอิเซะ เป็นชื่อเรียกของ 2 ส่วนในจังหวัดมิเอะ คือ อิเซะ (Ise) และ ชิมะ (Shima) และเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีการจัดงานประชุดสุดยอดผู้นำ G7 Ise-Shima Summit เมื่อเดือนเมษายน ปีค.. 2016 ที่ผ่านมานี้เอง

เดินต่อขึ้นไปยังจุดชมวิวโยโคยะมะ เพื่อชมวิวอ่าวอะโกะ

Yokoyama Visitor Center

เวลาทำการ : 09.00 . – 16.30 .
วันหยุด : ปิดทุกวันอังคารและวันที่ 1 มกราคม
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
การเดินทาง : แนะนำให้เช่ารถขับจะสะดวกกว่าการเดินทางด้วยรถไฟ โดยใช้บริการทางด่วนสายอิเสะ (Ise Expressway) จากนั้นแยกมาตามทางแยก อิเสะ-นิชิ (Ise-Nishi Interchange) มีที่จอดรถให้บริการฟรี สำหรับใครที่ไม่สะดวกเช่ารถขับสามารถเดินทางมาได้อีกหนึ่งวิธีคือ จากสถานีรถไฟชิมะ – โยะโกะยะมะ (Shima-Yokoyama) ของรถไฟสายคินเท็ตสึ (Kintetsu Line) ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 45 นาที
เว็บไซต์ : YOKOYAMA


สำหรับผู้ที่เช่ารถขับท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ขอแนะนำอีกหนึ่งเส้นทางขับรถ เส้นทาง Ise-shima Skyline เป็นชื่อเรียกของเส้นทางการเดินรถที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองอิเสะ (Ise) และเมืองโทบะ (Toba) บนยอดเขานักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดเขา Asamagatake จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพของที่ราบ Ise และอ่าว Ise อีกทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก

ทัศนียภาพของที่นี่จะมีความงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ความพิเศษของจุดชมวิวที่นี่นอกจากวิวสวยๆ ยังมีบ่อน้ำร้อนสำหรับแช่เท้า เพื่อให้นักท่องเที่ยวแช่เท้าผ่อนคลายความเมื่อยล้าและชมวิวสวยๆไปพร้อมๆกันได้อีกด้วย


เราเดินทางมาถึง เมืองโทบะ (Toba) เป็นเมืองทางชายฝั่งทะเลของจังหวัดมิเอะ มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไข่มุกคุณภาพดีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจาก เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) และเรื่องราวของอามะ (Ama) กลุ่มสตรีที่ดำน้ำได้เก่งและอึดที่สุด ด้วยการฝึกฝนส่งต่อวิธีการดำน้ำกันรุ่นต่อรุ่น ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำจับสัตว์ทะเลและไข่มุก

เดินทางไปชม พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) มีจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ไข่มุก ที่อธิบายและสาธิตวิธีการเลี้ยงหอยมุก ที่ถูกคิดค้นและทำให้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์โดย Kokichi Mikimoto ในปีค..1893

นอกจากจะได้เรียนรู้แล้ว ยังสามารถชมการจับหอยออยสเตอร์โดย อามะซัง หรือสาวนักดำน้ำ ที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่ากันว่าอามะซังมีอายุตั้งแต่ สาวรุ่น 20 กว่า จนไปถึงรุ่นอาม่าอายุ 80 เลยทีเดียว

ระดับความละเอียดของไข่มุกนั้น ยิ่งมีผิวสีที่เรียบเนียนมาก ราคายิ่งสูง

จัดแสดงผลงานที่สร้างสรรค์จาก ไข่มุกชั้นเลิศที่ถูกคัดเลือกอย่างปราณีต นำมาใช้ประดับเป็นผลงานอันทรงคุณค่า ที่ประเมินราคาไม่ได้

ลูกโลกไข่มุกทองคำ มุมประเทศไทย

นอกจากเครื่องประดับแล้วยังมีเครื่องสำอางค์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ผลิตจากไข่มุกเป็นส่วนผสมอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island)

เวลาทำการ : 09.00-16.30 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายก่อนเวลา 15.30 น.) เปิดทุกวัน
ค่าเข้าชม : 1,500 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Kintetsu Tobasen หรือ Shimasen และ JR Tokai ลงที่สถานี Toba เดินต่อประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ : MIKIMOTO


ต่อจากนั้นเดินทางไปสัมผัสกับวิถีชาวประมงพื้นบ้านที่ไม่เหมือนที่ใดบนโลกใบนี้กันที่ กระท่อมของอามะซัง (Amasankoya) ที่ชื่อว่า Hachiman Kamado ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Osatsu ห่างจากสถานี Toba ประมาณครึ่งชั่วโมง ต้องเดินทางด้วยแท๊กซี่ รถยนต์ส่วนตัวหรือซื้อทัวร์มาลง จึงจะสะดวกที่สุด

เมื่อเดินทางมาถึงเหล่าอามะซังจะออกมายืนต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมถือธงชาติไทยต้อนรับคณะของเราอีกด้วย ประทับใจสุดๆครับ

จากนั้นอามะซังตัวจริง จะนำอาหารทะเลสดๆ ไม่ว่าจะเป็น หอยอาซาริหรือกุ้งลอบสเตอร์ มาย่างให้เราทานกันแบบสดๆ แถมมีชุดอามะซังให้แต่งคอสเพลย์ และร่วมเต้นรำด้วยกันอีกด้วย สนนราคาต่อคอร์สเริ่มต้นที่ 3,780 เยน

กระชังสำหรับเลี้ยงหอยและสัตว์ทะเล


กระท่อมของอามะซัง Hachiman Kamado
เวลาทำการ : 10.00 – 16.30 น. เปิดทุกวัน
การเดินทาง : รถรับส่งให้บริการฟรีระหว่างสถานีรถไฟ Toba และกระท่อมอามะซังสำหรับผู้จองทัวร์เยี่ยมชม
เว็บไซต์ : Amakoya


หลังจากเดินทางกันมาทั้งวัน อีกหนึ่งไฮไลท์ของวันนี้ เราเดินทางมาชมงานเทศกาลประดับไฟหน้าหนาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของญี่ปุ่นNabana no Sato” ที่จะเริ่มจัดตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ จัดขึ้นที่ธีมพาร์คสวนดอกไม้และสวนน้ำชื่อดังที่ Nagashima Resort เมืองคุวะนะ (Kuwana) ในจังหวัดมิเอะ

>> จองตั๋วเข้างานพร้อมรถบัสไปกลับจากนาโงยะ <<

จ่ายค่าเข้าชม 2,300 เยน จากนั้นจะได้คูปองสำหรับใช้จ่ายภายในงาน มูลค่า 1,000 เยน

โดยในปีนี้จะจัดขึ้นในธีม Kumamoto Damon & Kumamon Furusato Kikou รวบรวมภาพสัญลักษณ์ประจำจังหวัดคุมะโมโตะ อาทิเช่น ปราสาทคุมะโมโตะ ภูเขาไฟอะโซะ และที่ขาดไม่ได้เจ้าหมีดำขวัญใจมหาชนคุมะมง พร้อมด้วยแสง สี เสียงสุดตระการตา

เดินเข้ามาเรื่อยๆจะพบกับส่วนโดมที่จัดแสดงพันธุ์ไม้ต่างที่ Andes Flower Garden โดยเฉพาะดอก Begonia ที่นำมาจัดแสดงมากกว่า 12,000 ต้น

อุโมงค์ไฟทางช้างเผือกที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของงานจัดแสดงไฟฤดูหนาว Nabana no Sato”

อุโมงค์ไฟดอกซากุระสีสวยหวานมากๆ จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆจากสีชมพูไปจนเป็นสีเขียว

เดินเข้ามาสุดด้านในจะเป็นที่จัดการแสดงไฮไลท์ของปีนี้ในธีมคุมะมง

เทศกาลประดับไฟฤดูหนาว “Nabana no Sato”

เวลาทำการ: 09.00-21.00 .ในวันธรรมดาและเวลา 09.00-22.00 . ในวันหยุด
ส่วนงานแสดงไฟจะเริ่มต้นในช่วงเย็นตั้งแต่ 17.00 . เป็นต้นไป
โดยซีซั่นนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม 2017 – 6 พฤษภาคม 2018
ค่าเข้าชม: 2,300 เยน (รวมค่าคูปองอาหารใช้จ่ายภายในงาน มูลค่า 1,000 เยน)
วิธีการเดินทาง: สามารถตั้งต้นที่สถานี Nagoya และนั่งรถบัส Meitetsu มาสถานที่จัดงานโดยตรง หรือนั่งรถไฟสาย Kintetsu มาลงที่สถานี Kuwana และขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไป Nagashima Onsen มาลงที่ป้าย Nabana no sato
เว็บไซต์ : Nagashima Onsen


แล้วคราวหน้ามาติดตามกันต่อนะครับว่า ตอนหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนกันต่อในภูมิภาคจุบุ

ChubuChubu Centrair International AirportHachiman KamadoIse Jingu shrineIse shima National Parkise shima skylineMieMikimoto Pearl IslandNabana no satookage yokochoyokoyama observatoryจังหวัดมิเอะพิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะศาลเจ้าอิเสะจิงงูสนามบินนานาชาติจูบุเซ็นแทร์อุทยานแห่งชาติอิเสะชิมะ