มาเดินทางท่องเที่ยวกันที่บริเวณใจกลางของประเทศที่ ภูมิภาคจุบุ (Chubu) ซึ่งช่วงที่เราไปนั้นเป็นช่วงปลายของฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เรายังได้เห็นบรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสีทั่วไปตามสถานที่ต่างๆที่เราไปเยือน โดยในตอนนี้จะพาไปเที่ยวจุดหมายยอดนิยมที่ จังหวัดไอจิ (Aichi)
ภูมิภาคจุบุ (Chubu) ประกอบไปด้วย 9 จังหวัด คือ Niigata, Toyama, Ishigawa, Fukui, Yamanashi, Nagano, Gifu, Shizuoka และ Aichi หากจะให้พูดถึงชื่อสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้นเคยในบริเวณนี้ ก็คือ ภูเขาฟุจิ, นะโงะยะ, ทะคะยะมะ, หมู่บ้านมรดกโลกชิระคะวะโกะ นั่นเองครับ
สามารถอ่านรีวิวตอนที่แล้วได้จากที่นี่ >>
ตะลุยใจกลางญี่ปุ่น ปลายฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 1 : จังหวัดมิเอะ (Mie)
ตะลุยใจกลางญี่ปุ่น ปลายฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 2 : จังหวัดกิฟุ (Gifu)
วันนี้เราเดินทางกันมายังจังหวัดสุดท้ายของทริปนี้คือที่ จังหวัดไอจิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ สนามบิน Chubu Centrair International Airport (สนามบินนานาชาติ จูบุ เซ็นแทร์) ในเมืองนาโงยะ
เริ่มต้นวันแบบไม่รอช้า ด้วยการเดินทางไปยัง เมืองโตโยตะ (Toyota) อยู่ไม่ไกลจากเมืองนาโงยะ เพื่อชมอีกหนึ่งเทศกาลที่ไม่เหมือนที่ไหนในประเทศญี่ปุ่น กับเทศกาลที่มีชื่อว่า Obara Shiki-zakura Matsuri หรือรู้จักกันในชื่อของเทศกาลชมดอกซากุระสี่ฤดู ที่สวน Obara Fureai Park
ซึ่งนอกจากดอกซากุระนั้นจะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว เฉพาะที่เมืองโตโยตะแห่งนี้ก็ยังจะบานในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วย เราสามารถชมดอกซากุระไปพร้อมกับใบไม้เปลี่ยนสีได้ในเวลาเดียวกัน การได้มาเห็นทัศนียภาพที่สวยสุดๆของญี่ปุ่นทั้งสองฤดูไม่ว่าจะเป็นดอกซากุระและใบไม้แดง เป็นอะไรที่บอกได้คำเดียวว่า สุโก้ยสุดๆไปเลย โดยในบริเวณสวนแห่งนี้จะมี ดอกซากุระสี่ฤดู ชิคิซากุระ (Shikizakura) ปลูกไว้มากถึง 10,000 ต้น
ดอกชิคิซากุระ จะเริ่มบานราวปลายเดือนตุลาคมและจะสวยที่สุดในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ภายในงาน นอกจากเราจะได้ชมความสวยงามของดอกซากุระแล้ว ก็ยังมีการแสดงที่น่าสนใจอีกมากมาย อย่างเช่น Obara Kabuki รวมไปถึงร้านอาหารญี่ปุ่นต่างๆที่มารวมตัวออกงานกันอย่างครื้นเครง
มีร้านค้าเล็กๆเรียงรายมากมาย
บรรยากาศของดอกซากุระรอบสวน Fureai
ดอกซากุระสลับกับบรรยากาศของใบไม้แดงยิ่งเพิ่มความสวยเป็นทวีคูณ
จุดชมดอกซากุระด้านบนถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นมาชมมากมาย
สำหรับใครที่ยังพอมีเวลาและกำลังขายังดีอยู่แนะนำให้เดินขึ้นไปสักการะศาลเจ้าด้านบนภูเขา
สวน Obara Fureai Park
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Nagoya โดยสารรถไฟใต้ดินสาย Higashiyama ลงที่สถานี Fushimi จากนั้นเปลี่ยนไปโดยสารรถไฟใต้ดินสาย Tsumarui ไปลงที่สถานี Toyotashi จากนั้น โดยสารรถประจำทาง Toyota Oiden ที่วิ่งไปยัง Kaminigi ลงที่ป้ายรถบัส Obara Okusa จากนั้นเดินต่อประมาณ 5 นาที
ไม่ไกลกันจากสวนเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะกระดาษโอบาระ (Obara Paper Art Museum-Washino-no-Furusato) เมืองแห่งงานหัตถกรรมกระดาษอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยกระดาษของเมืองโอบาระผลิตมาจากต้นโคโซหรือต้นหม่อน ที่เติบโตได้อย่างดีในเมืองโอบาระแห่งนี้ ต้นหม่อนเหล่านี้ได้เป็นแหล่งผลิตงานหัตถกรรมกระดาษวะชิชื่อดัง ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ตอนปลายศตวรรษที่ 14
โดยชาวบ้านจะทำกระดาษวะชิในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากอากาศหนาวเย็นหลายเดือน เป็นช่วงที่ไม่ได้ทำการเกษตร อีกทั้งเป็นช่วงที่มีน้ำสะอาดและเย็น ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการทำกระดาษวะชิ นอกจากกระดาษวะชิจากต้นหม่อนแล้วยังมีกระดาษโกะโซะกะมิ วะชิ เป็นกระดาษที่มีความแข็งแรงคงทนกว่า ใช้สำหรับงานศิลปะแบบดั้งเดิม อาทิเช่นโอะริกะมิ, โชะโดะ (อักษรประดิษฐ์) และภาพพิมพ์อุกิโยะ–เอะ นอกจากนั้นยังใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมากมายเช่น การทำประตูบานเลื่อนในบ้าน หนังสือ เป็นต้น
ต้นโคโซหรือต้นหม่อนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำกระดาษ
ผู้เข้าชมสามารถชมวิดีโอที่อธิบายกระบวนการผลิตกระดาษอย่างย่อ จากนั้นยังทดลองทำแผ่นกระดาษ ที่ซึ่งมีการจัดกิจกรรมการวาดภาพ ศิลปะการคัดลายมือ และการทำพัด รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์โอบาระวาชิที่ทำด้วยมือจำหน่ายอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์ศิลปะกระดาษโอบาระ (Obara Paper Art Museum) (Washi-no-Furusato)
เวลาทำการ : 9.00-16.30 น.
วันหยุด : วันจันทร์และช่วงตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคมถึงวันที่ 4 มกราคม
ค่าเข้าชม : ฟรี
การเดินทาง : จากสถานี Nagoya โดยสารรถไฟใต้ดินสาย Higashiyamaลงที่ สถานี Fushimi
หรือโดยสารรถไฟใต้ดินสาย Tsurumai ลงที่สถานี Toyotashi หรือโดยสารรถบัส Toyota Oiden สาย Obara ที่วิ่งไปเส้นทาง Kaminigi ลงที่ป้ายรถบัส Washi no Furusato จากนั้นเดินต่อ 1 นาที
เว็บไซต์ : Obara Paper Art Museum
จากนั้นเยี่ยมชมอีกหนึ่งวัดที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นมาอย่างช้านานที่ วัดนิตไทจิ (Niitaiji Temple) วัดนิตไทจิถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1904 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประเทศไทยหรือสยามในครั้งนั้นได้มอบเป็นของขวัญให้แก่ประเทศญี่ปุ่นในปีค.ศ. 1900
วัดนิตไทจิมีความกว้างกว่า 330,000 ตารางเมตร บริเวณใจกลางของอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธศากยมุนี เป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ซึ่งได้รับมอบเป็นของขวัญจากรัฐบาลไทยเคียงคู่กับพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ห้าชั้นความสูง 30 เมตร
ด้านนอกเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่ง (รัชกาลที่ 5) โดยวัดแห่งนี้ถือเป็นวัดเดียวในประเทศญี่ปุ่นซึ่งไม่ได้สังกัดนิกายใดโดยเฉพาะ
วัดนิตไทจิ (Niitaiji Temple)
เวลาทำการ : 05.00 – 16.30 น. เปิดทุกวัน
ค่าเข้าชม : ฟรี
การเดินทาง : โดยสารรถไฟใต้ดินสาย Higashiyama ลงที่สถานี Kakouozan ทางออกที่ 1 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากนั้นเดินต่อประมาณ 5-10 นาทีจะถึงตัววัด
เว็บไซต์ : Niitaiji Temple
เข้าสุ่วันสุดท้ายของทริปตะลุยท่องเที่ยวช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูมิภาคจุบุกันแล้ว โปรแกรมช่วงเช้า เราเดินทางไปชมความยิ่งใหญ่ของ ปราสาทนะโงะยะ (Nagoya Castle)
มีความสูงทั้งหมด 5 ชั้น ปราสาทแห่งนี้ในอดีตเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลของโชกุนโทกุงะวะ ก่อสร้างโดยท่านโชกุนโทกุงะวะ อิเอะยะสุ อีกทั้งปราสาทนะโงะยะ ยังถูกใช้เป็นแนวหน้าในการป้องกันเมือง เมื่อครั้งสู้รบกับฝั่งโอซาก้า
นอกจากนั้นที่นี่ยังมีไกด์อาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุคอยอธิบายและแนะนำเกี่ยวกับปราสาทให้เราฟังอีกด้วย
สัญลักษณ์ของปราสาทนะโงะยะก็คือรูปสลักปลาหัวเสือทองคำ “คินชะจิ” ที่มีชื่อเสียงนับเป็นรูปสลักคินชะจิหุ้มทองเพียงหนึ่งเดียวในญี่ปุ่นตั้งอยู่ด้านบนหลังคาของปราสาท
เดินลงมาเรื่อยๆจะเป็นในส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงข้อมูลความเป็นมาของปราสาทนะโงะยะ
ในบริเวณเดียวกันกับตัวปราสาทเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นคือ พระราชวังฮมมารุ (Hommaru Palace) ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของปราสาทนะโงะยะ ล้อมรอบด้วยหอกลาง 2 หลังและป้อมปราการหอคอยหลายแห่ง
พระราชวังฮมมารุ ถูกออกแบบให้เป็นที่พักอาศัยของขุนพลผู้ครองปราสาทและภายหลังได้ตกเป็นของท่านโชกุนโทกุงะวะ อิเอะยะสุ สถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในนั้นหรูหราและงดงามอย่างมาก
โดยตัวอาคารทั้งหลังก่อสร้างด้วยไม้สนฮิโนกิที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ อีกทั้งภาพวาดอันวิจิตรบรรจงบนแผ่นทองคำบริสุทธิ์ อาทิเช่น รูปเสือดาว นก สัตว์มงคล ต้นไม้และดอกไม้ต่างๆมากมาย
ปราสาทนะโงยะ (Nagoya Castle)
เวลาทำการ : 9.00-16.30 น. (ปราสาทชั้นในสุดเข้าได้ถึงเวลา 16.00 น.)
วันหยุด : ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม ถึง 1 มกราคม
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Nagoya โดยสารรถไฟใต้ดินสาย Meijoลงที่สถานี Shiyakusho แล้วเดินจากทางออก 7 ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีหรือโดยสารรถบัสMe-guru ลงที่ปราสาทนะโงะยะ
เว็บไซต์ : Nagoya Castle
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมาเยือนเมืองนะโงะยะ พบมิติใหม่แห่งการทานข้าวหน้าปลาไหล ที่ทานครั้งเดียวอร่อยได้ถึง 3 แบบ ข้าวหน้าปลาไหล “ฮิตสึมาบุชิ” (Hitsumabushi) ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนะโงะยะ ที่ร้าน Unagi Washoku Shirakawa – Joshin Restaurant
ข้าวหน้าปลาไหลฮิตสึมาบุชิ มีวิธีกินที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเริ่มจากการตักแบ่งข้าวหน้าปลาไหลมาใส่ในชาม ถ้วยแรกทานแบบปกติ จากนั้นถ้วยที่สองทานคู่กับวาซาบิ หัวหอมและสาหร่าย ส่วนถ้วยที่สามเติมน้ำต้มชาเขียวทานเป็นแบบข้าวต้ม ทำให้ได้ความรู้สึกถึงการทานข้าวหน้าปลาไหลแบบแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนที่ใดในญี่ปุ่น
จะเห็นได้ว่าข้าวหน้าปลาไหลนั้นมีสารอาหารครบถ้วนจริงๆครับ
ร้าน Unagi Washoku Shirakawa – Joshin Restaurant
เวลาทำการ : มื้อกลางวัน เวลา 11.00 -14.30 น. และ มื้อเย็น 17.00 – 22.00 น.
วันหยุด : ช่วงสิ้นปีและวันหยุดปีใหม่
การเดินทาง : โดยสารรถไฟใต้ดินสาย Tsurumai ลงที่สถานี Joshin เดินประมาณ 2 นาที
เว็บไซต์ : Hitsumabushi
หลังจากอิ่มอร่อยกับข้าวหน้าปลาไหลสไตล์นะโงะยะกันไปแล้ว เดินทางไปชมความน่ารักของสัตว์น้ำที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนะโงะยะ (Port of Nagoya Public Aquarium) เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 ตั้งอยู่ที่บริเวณท่าเรือนะโงะยะ
ภายในจัดแสดงชีวิตของสัตว์โลกใต้น้ำ โดยแบ่งออกเป็น 2 อาคารหลัก คืออาคารฝั่งทิศใต้จะจัดแสดงในคอนเซ็ปต์การเดินทางสู่ทะเลแอนตาร์คติค (A Journey to the Antarctic) ที่จะได้พบกับแท็งก์น้ำคุโรชิโอะ (Kuroshio Tank) ขนาดใหญ่, ชีวิตของสัตว์น้ำทะเลลึก, ประการังสีสันงดงามและสัตว์ในเขตหนาวอย่างนกเพนกวิน
บริเวณตึกฝั่งทิศเหนือจะจัดแสดงภายใต้คอนเซ็ปต์ การเดินทางตลอด 3.5 พันล้านปีของสัตว์ที่หวนคืนสู่ทะเล พบกับสัตว์น้ำมากมาย อาทิเช่น ปลาวาฬเพชรฆาต ปลาวาฬเบลูก้า รวมถึงปลาโลมาในเขตทะเลญี่ปุ่น อีกทั้งเพนกวินกว่า 5 สายพันธุ์
พร้อมตื่นตาตื่นใจไปกับการแสดงของโลมาและปลาวาฬเพชรฆาตสุดน่ารักบริเวณแท้งค์น้ำขนาดใหญ่
เพนกวินสายพันธุ์เขตร้อน
อีกหนึ่งไฮไลท์คือการแสดงโชว์การเคลื่อนไหวของเหล่าปลาซาดีนส์นับล้านตัวคลอไปกับเสียงเพลง
บริเวณแท้งค์น้ำครึ่งวงกลมขนาดใหญ่เสมือนเรากำลังยืนอยู่ภายในอุโมงค์ใต้น้ำ
อีกหนึ่งการแสดงโชว์ให้อาหารเพนกวินสายพันธุ์เขตขั้วโลก
และแน่นอนว่าร้านขายของที่ระลึกบริเวณทางออกของพิพิธภัณฑ์ให้ได้เลือกซื้อกลับบ้าน
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนะโงะยะ (Port of Nagoya Public Aquarium)
เวลาทำการ : 9.30 -17.30 น. (ตั้งแต่วันที่ 20 เดือนมีนาคมถึง 16 กรกฎาคมและตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนถึง 30 พฤศจิกายน) เข้าชมได้ถึงเวลา 16.30 น.
และ 9.30 -20.00 น. (ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายนถึง 5 พฤษภาคม และตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมถึง 31 สิงหาคม) เข้าชมได้ถึงเวลา 19.00 น.
วันหยุด : ทุกวันจันทร์ ยกเว้นช่วงวันหยุดยาว Golden week (ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม)
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่และนักเรียนมัธยมปลาย ราคา 2000 เยน และ นักเรียนมัธยมต้น / ประถม ราคา 1000 เยน
การเดินทาง : โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Meikoลงที่สถานี Nagoyako จากนั้นเดินประมาณ 8 นาที
เว็บไซต์ : Nagoya Public Aquarium
จากนั้นเราแวะที่ศูนย์การค้าเปิดใหม่ Maker’s Pier เพื่อเปิดประสบการณ์ลองชงชาเขียวมัทฉะด้วยเองที่ ร้านชาเขียว Saijo-en
ความพิเศษของร้าน Saijo-en นั้นไม่เพียงแต่ผู้เข้าร่วมเวิร์คช้อปจะได้ชงและชิมชาเขียวเท่านั้น แต่ทางร้านจะให้เรามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน
เริ่มตั้งแต่การใช้เครื่องบดใบชาแห้ง หมุนวนไปจนเปลี่ยนเป็นผงมัทฉะ จากนั้นจึงทำวิธีการชงแบบโบราณ ไปจนถึงขั้นตอนการดื่ม
ทานคู่กับชูครีมรสชาเขียวเข้มข้นเข้ากันอย่างลงตัว
ร้าน Saijo-en บริเวณโซน Forest Garden ภายในศูนย์การค้า Maker’s pier
เวลาทำการ : โซนร้านค้าและเอนเตอร์เทนเม้นท์ 10.00 – 19.00 น.
โซนร้านอาหารและคาเฟ่ 11.00 – 21.00 น. เปิดทุกวัน
ราคา : ค่าเวิร์คช้อปชงชาเขียวพร้อมเซทของหวาน 500 เยน
การเดินทาง : โดยสารรถไฟฟ้าสาย Aonami มาลงที่สถานี Kinjo Futo
เว็บไซต์ : Maker’s pier
ปิดท้ายด้วยกิจกรรมยอดฮิตของชาวไทยส่งท้ายก่อนเดินทางกลับนั่นคือกิจกรรมช้อปปิ้ง เราเดินทางไปยังศูนย์การค้า Aeon Mall Tokoname ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามบินเซ็นแทร์
สามารถขอแผนที่ศูนย์การค้าฉบับภาษาอังกฤษได้จากที่นี่
นอกจากนั้นยังสามารถทำเรื่องขอคืนภาษีและขอข้อมูลด้านการท่องเที่ยวได้อีกด้วย
ช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่แห่งนี้เพียบพร้อมไปด้วย ร้านค้าแฟชั่น ร้านอาหาร และโซน FOOD WONDERLAND คือร้านโซน Food Court ที่รวบรวมร้านอาหารดังๆ ในญี่ปุ่น อีกทั้งยังราคาก็ไม่แพงด้วย นอกจากนั้นยังมีโซนร้านอาหาร TOKONAME Restaurant Street ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้นล่าง
สำหรับใครที่ยังมีเวลาเหลือก่อนเดินทางไปสนามบินแนะนำว่าให้ลองแวะมาเดินเล่นที่นี่่ เชื่อว่าน่าจะได้ของติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนทางบ้านแน่นอน
ศูนย์การค้า Aeon Mall Tokoname
เวลาทำการ : 10.00 – 21.00 น. เปิดทุกวัน
การเดินทาง : จากสนามบินจุบุเซ็นแทรร์ โดยการรถฟรีชัตเติลบัสมายังศูนย์การค้า หรือโดยสารรถไฟสาย Meitetsu ลงที่สถานี Rinku Tokoname จากนั้นเดินประมาณ 1 นาที
เว็บไซต์ : Aeon Mall Tokoname
จบกันไปแล้วนะครับ สำหรับทริปการเดินทางตะลุยชมใบไม้เปลี่ยนสีบริเวณภูมิภาคจุบุ สำหรับใครที่อยากจะหาแผนการเดินทางท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ๆ เชื่อแน่ว่าภูมิภาคจุบุจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจอันดับต้นๆได้เลยครับ ลากันไปด้วยภาพสวยๆของปราสาทนะโงะยะยามค่ำคืนครับ แล้วอย่าลืมติดตามนะครับว่าในครั้งหน้าเราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวที่ไหนกันอีก