พูดถึงจังหวัด “ชิบะ” ใครๆหลายคนก็คงคุ้นชื่อนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งในโตเกียว อาจเป็นเพราะที่ตั้งของสนามบินนาริตะ ที่หลายคนนั่งเครื่องบินมาลงเพื่อต่อเข้าไปยังโตเกียว แต่ “ชิบะ” ไม่ได้มีดีแค่สนามบินที่ใครๆก็มาลงนะ แต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่เราเองยังต้องร้องว้าวเลย
จังหวัดชิบะ ตั้งอยู่ในเขตภูมิภาคคันโต บนเกาะฮอนชู โดยมีเมืองสำคัญชื่อเดียวกันกับจังหวัดนั่นก็คือ เมืองชิบะ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาตินาริตะและสวนสนุกโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ทที่มีชื่อเสียง
ทริปนี้เราเดินทางมาร่วมกิจกรรมกับน้องๆนักศึกษาผู้โชคดีทั้ง 6 ท่าน ที่ได้รับการคัดเลือกจากนิตยสารดาโกะไทย ให้เข้าร่วมโครงการ Chiba Guide Rally ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 6 แล้ว โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาไทย ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับนักศึกษาญี่ปุ่นรวมถึงครอบครัวอุปถัมภ์ที่น้องๆทั้ง 6 ท่านได้มีโอกาสไปพักอาศัยด้วย อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงในการร่วมโปรโมตการท่องเที่ยวของจังหวัดชิบะ
โฉมหน้าของน้องนักศึกษาที่ผ่านกานคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ Chiba Rally Guide ครั้งที่ 6
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาตามไปเที่ยวด้วยกันเลยครับว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหน ในจังหวัดชิบะน่าตามไปเช็คอินกันบ้าง …
1.วัด Naritasan Shinshoji
เยือนวัด Naritasan Shinshoji ชื่อดังของเมืองนาริตะ วัดแห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นประตูสู่จังหวัดชิบะที่ใครๆต่างก็รู้จักและคุ้นเคย เนื่องจากเป็นวัดที่คนญี่ปุ่นมักจะเดินทางมาสักการะขอพรองค์เทพเจ้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมีผู้มาสักการะมากเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากศาลเจ้าเมจิ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปี วัดนาริตะซังแห่งนี้เป็นวัดในศาสนาพุทธมหายาน นิกายชินงอน (Shingon) ได้รับการปลูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 940
ภายในวิหารหลัก เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้า Komyodo (เรื่องการสมหวังในความรัก) Shakado (เรื่องความโชคดี) และ Shusseinari (เรื่องความก้าวหน้าทางการงาน)
เจดีย์สามชั้นเป็นสัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้
บริเวณประตูของวิหารต่างๆยังตกแต่งด้วยภาพแกะสลักไม้นูนต่ำที่ชื่อว่า The 500 Buddha’s disciple เป็นภาพของพระสงฆ์มากกว่า 500 องค์และประตู Nioumon ที่ช่วงกลางของบันไดวิหารหลักนั้น ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
โบสถ์โคเมียวโด คือโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของวัด สร้างขึ้นเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะมีโบสถ์ชากะโด และโบสถ์ไดฮนโด
วิหารต่างๆภายในตัววัด
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 05.30-16.00 น.
วันหยุด : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ไม่มีค่าใช้จ่าย
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Narita สาย JR หรือสาย Keisei Line เดินประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ : https://www.naritasan.or.jp/thailand/
2. ตลาดปลา The Fish
The Fish เป็นอาคารกระจกที่ตั้งอยู่ติดริมชายฝั่งทะเล ติดกับ Kanaya Port Ferry Terminal ที่นี่เป็นแหล่งรวบรวมของฝากชื่อดังของเมือง Futtsu ลิ้มรสอาหารทะเลแบบสดๆ มากมายในราคาย่อมเยาว์
บรรยากาศภายในร้านอาหาร เป็นกระจกใสบานใหญ่สามารถชมวิวสวยของทะเลด้านนอก
ข้าวหน้าอาหารทะเลสดรวมมิตร ราคา 1,980 เยน
นอกจากอาหารทะเลสดๆแล้ว ที่นี่ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของฝากแปรรูปจากผลิตภัณฑ์อาหารทะเลมากมาย
“Cheese Baum” แห่งร้าน Minamitei ขนมบามคูเฮงสอดไส้ชีสชื่อดัง ที่ใครๆต่างก็ต้องซื้อกลับบ้านอย่างน้อยคนละกล่อง
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 11.00 – 17.30 น.
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ราคาประมาณ 1500 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR สาย Uchibo ลงที่สถานี Hamakanaya จากนั้นเดินต่อประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ : The Fish
3. ยอดเขา Nokogiri
นั่งกระเช้าโรปเวย์ขึ้นไปบนยอดเขาโนโกกิริ (Mt.Nokogiri) ที่มีความสูงเหนือจากระดับน้ำทะเล 330 เมตร สามารถชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศาได้จากหอชมวิวบนยอดเขา จากเดิมที่นี่เคยเป็นเหมืองหิน ใช้เป็นแหล่งขุดหิน เพื่อนำไปใช้ในการสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองหรือฐานของปราสาทหลายหลัง
ระหว่างทางเดินไปยังจุดกลางเขา
พร้อมชมความยิ่งใหญ่ของภาพสลักเจ้าแม่กวนอิมบนหน้าผาภาพสลักนี้ที่มีชื่อญี่ปุ่นว่า Hyaku Shaku แปลว่า หนึ่งร้อยชาคุ (หนึ่งชาคุมีความยาวเท่ากับประมาณ 30.3 เซนติเมตร) ภาพสลักนี้จึงสูงกว่า 30 เมตร ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1966 เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงความสูญเสียและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ไกด์อาสาสมัครคุณลุงชาวญี่ปุ่น ได้อธิบายเกี่ยวกับประวัติของสถานที่แห่งนี้ให้เราฟัง
ระหว่างทางเดินไปยังจุดชมวิว ตามแนวเขาเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปหลากหลายอิริยาบทมากมายกว่า 1,500 องค์
จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงบนยอดเขาโนโกกิริ มีชื่อว่า Jigoku Nozoki หรือมุมมองแห่งนรก ที่สามารถมองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา
วิวจากด้านบน ในวันที่อากาศดีๆ จะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 9.00 – 17.00 น. (ระหว่างวันที่ 16 เดือนพฤศจิกายน – 15 เดือนกุมภาพันธ์เปิดถึง 16:00 น.) โดยจะมีการให้บริการเดินรถ 4-6 เที่ยวใน 1 ชั่วโมง
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ค่าบริการสำหรับผู้ใหญ่ เที่ยวเดียว 500 เยน, ไปกลับ 930 เยน / เด็ก เที่ยวเดียว 250 เยน, ไปกลับ 450 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Chiba โดบสารรถไฟสาย JR Uchibo มาลงที่สถานี JR Hamakanaya ใช้เวลา 1.20 นาที
เว็บไซต์ : http://www.mt-nokogiri.co.jp/pc/p130000.php
4. วัด Nihonji
เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญมากของศาสนาเซน ตั้งอยู่บนภูเขา โนโกกิริ อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสลักจากหน้าผาหินขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีความสูงกว่า 31 เมตร มีความเชื่อกันว่า พระใหญ่องค์นี้มีชื่อเสียงในด้านการช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเป็นรูปประดิษฐของพระไภษัชยคุรุ (Yakushi Nyorai) พระแห่งการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยภาชนะที่ถือในหัตถ์ซ้ายนั้นคือภาชนะบรรจุยา
นักท่องเที่ยวสามารถมีขอพรที่หน้าองค์พระจิโซหรือพระโพธิสัตว์ผู้พิทักษ์เด็กๆ แนะนำผู้ที่เดินทางมาขอพร
บริเวณทางเข้าจะมีเครื่องรางพระโพธิสัตว์เล็กๆจำหน่ายอยู่ ให้เขียนชื่อตนเองลงแล้วอธิษฐาน เชื่อกันว่าคำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริง หลังจากขอพรเสร็จแล้วให้นำมาตั้งไว้ที่ด้านหน้าองค์พระเป็นอันเสร็จพิธี
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 8.00-17.00 น. (สำหรับฤดูหนาวจะเปิดถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน)
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็ก 400 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Chiba โดบสารรถไฟสาย JR Uchibo มาลงที่สถานี JR Hamakanaya ใช้เวลา 1.20 นาที
เว็บไซต์ : http://www.nihonji.jp/
5. Country Farm Tokyo German Village
ชมเทศกาลประดับไฟฤดูหนาว The Power of Smile Winter illumination ที่ Tokyo German Village ตระการตาไปกับการจัดแสดงไฟหลากสีสันด้วยดวงไฟกว่า 2,500,000 ดวง บนพื้นที่กว่าหกหมื่นตารางเมตร
ช่วงหลังพระอาทิตย์ตก จะเป็นการประดับไฟพร้อม แสง สี เสียง
ภายในบริเวณเดียวกันยังมีการจัดแสดง China Lantern Festival (บริเวณนี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมท่านละ 2,000 เยน)
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 09.30 – 17.00 น. (เข้าได้ถึง 16.00 น.) ในช่วงที่จัดอิลลูมิเนชั่นสามารถเข้าได้ถึง 19.30 น. และปิด 20.00 น.
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : 500 เยน (ในช่วงที่จัดอิลลูมิเนชั่น)
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Chiba โดบสารรถไฟสาย JR Uchibo มาลงที่สถานี JR Anegasaki หรือสถานี Sodegaura จากนั้นนั่งรถบัสหรือแท็กซี่ประมาณ 20 นาที
เว็บไซต์ : http://t-doitsumura.co.jp/
6. Matsunoya Ryokan
เปิดรับประสบการณ์การเข้าพักในเรียวกังแบบญี่ปุ่นโบราณ เรียวกังขนาดเล็ก ประกอบด้วยเพียง 11 ห้อง ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย เสมือนกลับมาเยี่ยมบ้านคุณยายที่ต่างจังหวัด เรียวกังแห่งนี้ ดำเนินกิจการมาตั้งแต่สมัยไทโช อาคารมีอายุกว่าร้อยปีแล้ว อาคารด้านหน้านี้เป็นอาคารแต่เดิมที่มีอายุกว่า 140 ปี ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ในแบบสมัยก่อน ส่วนอาคารอีกหลังสร้างขึ้นในภายหลัง ห้องพักจะเป็นแบบทันสมัยมากขึ้น
ภายในห้องพัก
เพื่อให้ครบสูตรของการเข้าพักเรียวกัง ที่เรียวกัง Matsunoya ได้จัดเตรียมมื้อค่ำแบบไคเซกิเซท อาหารส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่หาได้จากในท้องถิ่น เมนูเด็ดของมื้อนี้คือ หม้อไฟนาเบะหมูในซุปนมถั่วเหลืองกับมิโซะ
หลังจากทานมื้อเย็นเรียบร้อย ที่เรียวกังแห่งนี้จะไม่มีห้องอาบน้ำภายในห้องพัก ดังนั้นแขกผู้เข้าพักจำเป็นต้องมาลงชื่อจองเวลาอาบน้ำซึ่งจะมีป้ายตารางเวลาให้จองด้านหน้าห้อง
มื้อเช้าก่อนเช็คเอ้าท์เดินทางออกจากที่พัก
ข้อมูลเพิ่มเติม
ที่อยู่ : 30 Katsuura, Katsuura-shi, Chiba
- เบอร์โทรศัพท์ : +81-470-73-0047
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Katsuura สาย JR Sotobo ใช้เวลาในการเดิน 10 นาที
7. Kamogawa Sea World
สัมผัสกับโลกใต้ทะเลเสมือนจริงที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Kamogawa Sea World ที่ยกท้องทะเลมาจำลองไว้ได้ให้ได้สัมผัสกันแบบใกล้ชิดเต็มๆตา ทั้งในส่วนของอะความเรียมที่ที่จะได้พบกับสัตว์น้ำหลากหลายชนิดจากใต้ท้องทะเลลึก
ไฮไลท์ของที่นี่คือการแสดงโชว์จากสัตว์น้ำแสนรู้มากมาย อาทิ โลมาโชว์ โชว์จากขวัญใจของเด็กๆอย่างเจ้าปลาวาฬเพชรฆาตตัวมหึมา ที่พร้อมใจกันมามอบความสุขและเสียงหัวเราะให้กับทุกๆคน
โชว์แรกเป็นการแสดงความฉลาดของวาฬเบลูก้า
ตามด้วยโลมาโชว์
และปิดท้ายด้วยโชว์จากขวัญใจของเด็กๆอย่างเจ้าปลาวาฬเพชรฆาต
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : วันธรรมดา เวลา 09.00 – 16.00 น. วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุด เวลา 09.00 – 17.00 น.
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ ราคา 2800 เยน, เด็ก อายุตั้งแต่ 4 ปี ราคา 1400 เยน, ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปี ราคา 2200 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Tokyo โดยใช้รถบัสความเร็วสูง หรือรถไฟสาย JR ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ที่นี่มีรถรับส่งฟรีจากสถานี Ama-Kamogawa
เว็บไซต์ : http://www.kamogawa-seaworld.jp/english/
8. Mother Farm
เพลิดเพลินท่ามกลางธรรมชาติที่ Mother Farm ฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบเปิดที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวได้ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงอย่างเจ้าแพะ แกะ และอัลปาก้า
รับประทานบุพเฟต์ปิ้งย่างที่มีให้เลือกทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อแกะ ที่ให้คุณทานได้แบบไม่อั้น พร้อมข้าว ซุป เครื่องเคียง เครื่องดื่ม โดยมื้อกลางวันนั้นเซทบุพเฟต์จะจัดเฉพาะลูกค้าทัวร์เท่านั้น ส่วนลูกค้าปกตินั้นสามารถไปเลือกเนื้อแล้วชั่งน้ำหนักตามราคา หรือใครที่อยากทานบุฟเฟต์สำหรับลูกค้าปกติจะจัดเฉพาะช่วงมื้อเย็น สนนราคาท่านละ 3000 เยน และเด็ก 1800 เยน
หรือจะเข้าร่วมเวิร์คช้อปทำชีสเค้กและไอศกรีมแบบแฮนด์เมดด้วยตัวคุณเอง
ชมทุ่งดอกนาโนะฮานะเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตาในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
สามารถป้อนอาหารให้ได้กับมือ
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 30 พฤศจิกายน วันธรรมดา ตั้งแต่ 9.30-16.30 น. วันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 9.00-17.00 น. และวันที่ 1 ธันวาคม – 31 มกราคม วันธรรมดาตั้งแต่ 10.00-16.00 น. วันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 9.30-16.00 น.
วันหยุด : เช็ครายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บไซต์
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ 1,500 เยน เด็ก 800 เยน สุนัข 600 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ JR Chiba โดบสารรถไฟสาย JR Uchibo มาลงที่สถานี JR Kisarazu จากนั้นโดยสารรถไฟต่อมาที่สถานี JR Kimitsu แล้วโดยสารรถบัสประมาณ 30-40 นาที หรือจากสถานีรถไฟ JR Sanukimachi โดยสารรถบัสประมาณ 25 นาที
เว็บไซต์ : http://www.motherfarm.co.jp.th.acb.hp.transer.com/
9. พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Boso no Mura Open Air Museum
ตั้งอยู่ภายในเมืองนาริตะ (Narita) จำลองวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นโบราณในยุคสมัยตอนปลายของยุคเอโดะที่กำลังก้าวผ่านสู่ยุคเมจิ ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านรูปทรงโบราณที่เป็นเอกลักษณ์ ที่มีการดีไซน์ให้เป็นเหมือนหมู่บ้านในสมัยเอโดะราวๆปี ค.ศ.1603-1867 ประกอบด้วยบ้านเรือนที่พักอาศัย ฟาร์ม ซึ่งเราจะได้สัมผัสกับความเป็นญี่ปุ่นยุคโบราณแบบเสมือนจริง
หรือจะฝึกทำงานฝีมือของเขตโบโซะ ไม่ว่าจะเป็นพวกกุญแจ เทียนไข
อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถสวมชุดคอสเพลย์เป็นชาวบ้านโบราณได้อีกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 09.00 – 16.30 น.
วันหยุด : ปิดทุกวันจันทร์ (หากวันจันทร์เป็นวันหยุดราชการจะปิดทำการในวันถัดไป) และวันที่ 25 ธันวาคมถึงวันที่ 1 มกราคม
ค่าใช้จ่าย : 300 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Narita โดยสารรถบัส Chiba Kotsu Bus (สาย Ryukakujidai-Shako) ไปลงที่สถานี Ryukakujidai-Ni-Chome bus stop(20 นาที 400 เยน บัสออกชั่วโมงละ 2-3 รอบ) แล้วเดินต่อไปอีก 10 นาที หรือ จากสถานี Narita โดยสารรถไฟ JR สาย Narita ไปลงที่สถานี Ajiki Station ใช้เวลาประมาณ 10 นาที แล้วนั่งรถบัส Chiba Kotsu bus (สาย Ryukakujidai-Shako) ไปลงที่ Boso no Maru(ใช้เวลา 10 นาที ราคา 220 เยน บัสออกชั่วโมงละ 1-2 รอบ) สถานีรถบัสจะตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์
เว็บไซต์ : http://www2.chiba-muse.or.jp/MURA/index.html
10. Boso Kart (Minamiboso rental cart)
ประลองความเร็วกับรถโกคาร์ท พร้อมขับชมวิวไปตามเส้นทางสวยๆริมชายฝั่งทะเล
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 10.00 น. – 15.00 น.
ติดต่อเพื่อสำรองคิวได้ที่ : Minami Boso Tourist Association โทร : 0470-28-5307 เวลา 09.00 น. – 17.00 น. หรือสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่ https://l-tike.com/sports/mevent/?mid=334907
วันหยุด : วันพุธ
ค่าใช้จ่าย : คอร์ส Izu Nanajima View Course ( 2 ชม. ราคา 6000 เยน), คอร์ส ‘Southernmost’ course ( 1 ชม. ราคา 4000 เยน), Nostalgic Course ( 30 นาที ราคา 3000 เยน)
วิธีการเดินทาง :
- จากสถานีรถไฟ JR Tokyo ทางออก Yaesu ด้านทิศใต้ โดยสารรถบัสสาย “Boso Nanha Hana” ลงที่ป้ายจอดรถบัส “Sea breeze”
- จากสถานีรถไฟ JR Chiba โดยสารรถบัสสาย “Minami-Satomi” ลงที่ป้ายจอดรถบัส “Sea breeze kingdom”
เว็บไซต์ : https://bosokart.jp/
11. จุดพักรถริมชายทะเล Michinoeki-Chikura Shiokaze Okoku
พักเหนื่อยจากการขับรถ ชมวิวสวยๆ พร้อมแวะชิม Donburi ข้าวหน้าทะเลที่มีให้เลือกแบบหลากหลายชนิด แบบสดๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 09.00 – 17.00 น.
วันหยุด : ทุกวันพุธ และวันที่ 1 ของเดือนเมษายนและเดือนพฤศจิกายน
ค่าใช้จ่าย : –
วิธีการเดินทาง :
- จากสถานีรถไฟ JR Tokyo ทางออก Yaesu ด้านทิศใต้ โดยสารรถบัสสาย “Boso Nanha Hana” ลงที่ป้ายจอดรถบัส “Sea breeze”
- จากสถานีรถไฟ JR Chiba โดยสารรถบัสสาย “Minami-Satomi” ลงที่ป้ายจอดรถบัส “Sea breeze kingdom”
เว็บไซต์ : https://shiokaze-oukoku.jp/
12. Tokyo Aqua-Line Umihotaru
ชมความงามของอ่าวโตเกียวแบบ 360 องศาที่จุดแวะพักรถกลางอ่าวโตเกียว Tokyo Aqua-Line Umihotaru ที่เป็นเส้นทางอุโมงค์ใต้ทะเลที่มีความยาวกว่า 9.6 กิโลเมตร ระหว่างจังหวัด Kanagawa และเมือง Kisarazu ในจังหวัดชิบะ
สามารถมาขอข้อมูลการท่องเที่ยวได้ที่เค้าท์เตอร์ให้บริการด้านข้อมูลการท่องเที่ยว
สำหรับใครที่ชอบการส่งโปสการ์ดและจดหมาย กิมมิกของที่นี่คือโปสการ์ดที่เราส่งจะไปถึงมือของเราในอีก 1 ปีข้างหน้า
สามารถนั่งแช่อนเซนเท้าพร้อมชมวิวสวยๆของพระอาทิตย์ตกไปด้วย
ร้านขายของฝากและของที่ระลึก
รอยเท้าของก็อดซิลล่าขณะที่กำลังจะขึ้นจากอ่าวโตเกียว จากภาพยนต์เรื่อง “ก็อดซิลลา ศึกสุดยอดจอมอสูร”
อนุสาวรีย์หัวเจาะที่ใช้ในการเจาะอุโมงค์ใต้น้ำ
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : –
วิธีการเดินทาง :
ขาไป
จากสถานี Kisarazu ต่อรถบัสสาย BAY 7 มาลงที่จุดพักรถ Umihotaru
จากสถานี Kawasaki ทางออก East ต่อรถบัสสาย BAY22 มาลงที่จุดพักรถ Umihotaru
ขากลับ
ไปยัง สถานี Kawasaki ขึ้นรถที่ Umihotaru ชั้น1 บริเวณ parking area (Kawasaki side)
ไปยัง สถานี Kisarazu ขึ้นรถที่ Umihotaru ชั้น1 บริเวณ parking area (Kisarazu side)
เว็บไซต์ : https://www.umihotaru.com/en/#about
13. Mitsui Outlet Park Shopping Mall Kisarazu
เอาใจขอช้อปด้วยการพาไปช้อปปิ้งที่ Mitsui Outlet Park ที่รวบรวมแบรนด์หรูมากกว่า 300 ร้านค้าให้ช้อปกันอย่างจุใจในราคาสบายกระเป๋า
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 10.00 – 20.00 น.
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : –
วิธีการเดินทาง : มีรถบัสจากสถานีใหญ่ในโตเกียวให้บริการวิ่งตรงสู่ Mitsui Outlet Park Shopping Mall Kisarazu เช่นสถานี Tokyo, สถานี Hamamatsucho, สถานี Shinjuku สนามบิน Haneda , สนามบินนาริตะ
เว็บไซต์ : https://mitsui-shopping-park.com/mop/kisarazu/english/
14. Dragon Farm
เพลิดเพลินกับกิจกรรมยอดฮิตอย่างการเก็บสตอเบอรี่กันที่ Dragon Farm ที่สามารถรับประทานกันได้แบบไม่อั้นตลอด 30 นาที
อีกทั้งที่ฟาร์มแห่งนี้ยังมีสตอเบอรี่ให้เลือกชิมหลากหลายสายพันธุ์ สตอเบอรี่สายพันธุ์สีขาวรสชาติหวานอร่อยไม่แพ้กัน
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 09.00 – พระอาทิตย์ตก (ช่วงต้นเดือนมกราคม-ต้นเดือนพฤษภาคม)
วันหยุด : ตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์
ค่าใช้จ่าย : วันจันทร์ – เสาร์ ราคา 3000 เยน เด็ก 1500 เยน ต่อ 30 นาที (สำรองที่ก่อนที่หมายเลขโทรศัพท์ 043-235-3788), วันอาทิตย์ ราคา 2000 เยน เด็ก 1000 เยน ต่อ 30 นาที (ผู้ที่มาก่อนสามารถเข้าได้ก่อน)
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Chishirodai-kita สาย Chiba Monorail เดินประมาณ 20 นาที หรือ โดยสารรถแท็กซี่ ประมาณ10 นาที จากสถานี Tsuga บนสาย JR Monorail ทางออก East Exit
เว็บไซต์ : http://www.dragon-farm.com/
15. สวน Mihama-en
สวนสวยสไตล์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่ สวนนี้สร้างเมื่อค.ศ. 1990 เพื่อใช้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ตั้งอยู่ภายใน Makuhari Park ภายในได้มีการจำลองธรรมชาติเพื่อให้ชาวเมืองได้มีที่พักใจจากชีวิตที่เร่งรีบมาพักผ่อนหย่อนใจ
จากนั้นพาเข้าชมสวนบริเวณด้านใน ที่เป็นส่วนของสถานที่สำหรับดื่มชา
ดื่มด่ำกับความงามของวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นผ่านการจัดสวนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านพิธีการชงชา
ชมสวนสวยๆขณะดื่มชา จุดเด่นของที่นี่คือสระน้ำและต้นสนญี่ปุ่น เชือกที่ขึงไว้สำหรับช่วงฤดูหนาว หิมะจะได้ไม่ทับถมจนกิ่งหัก
สิ่งละอันพันละน้อยที่ชาวญี่ปุ่นให้ความใส่ใจ แม้ถ้วยดื่มชายังมีลวดลายศิลปะที่สวยงาม
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : สวน Mihamaen เปิดเวลา 8.00 – 17.00 น., ศาลาดื่มชา เปิดเวลา 9.00 – 16.30 น.
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ค่าเข้าชมสวน 100 เยน ค่าชาเขียวพร้อมของหวาน 500 เยน
วิธีการเดินทาง : About 8 minutes on foot from the south exit of JR Keiyo Line Line Kaihin Makuhari Station
เว็บไซต์ : http://www.chibacity-ta.or.jp/spots/mihama-en
16. สวนสนุก Tokyo Disney Sea
เอาใจเด็กๆด้วยการไปตะลุยสวนสนุก Disney Sea ก้าวสู่โลกแห่งจินตนาการผ่านตีมของท้องทะเล อาทิท่าเรือเกาะเมดิเตอเรเนียน, โลกใต้ทะเลของเหล่านางเงือก พร้อมชมโชว์พาเหรดบนผืนน้ำที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก
โซนท่าเรือเกาะเมดิเตอเรเนียน
โซน Mermaid Lagoon
โซน Toy Story Mania
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : วันจันทร์ – ศุกร์ เปิดเวลา 08.00 – 19.00 น. และวันเสาร์ – อาทิตย์ เปิดเวลา 08.00 – 22.00 น. หรือสามารถเช็ควันเวลาเปิดปิดได้จากเว็บไซต์ของทาง Tokyo Disney Sea โดยตรง
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ ราคา 7400 เยน, เด็กโต 6400 เยน, เด็กเล็ก 4800 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Maihama โดยสารรถไฟ Disney Resort Monorail ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ราคา 260 เยน
เว็บไซต์ : https://www.tokyodisneyresort.jp/th/tds/
17. เมือง Sawara
เมือง Sawara หรือที่รู้จักกันในชื่อของ Little Edo เมืองเล็กๆที่มีกลิ่นอายความย้อนยุค ที่มีการจัดการผังเมืองได้อย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งยังได้รับการรักษาและบูรณะที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิม เต็มไปร้านค้าต่างๆ และคลังสินค้าโบราณจากสมัยเอโดะ หมู่บ้านซาวาระนี้มีอายุมากว่า 200 ปี โดยในอดีตที่นี่เคยเป็นแหล่งปลูกข้าว ผลิตน้ำตาล โชยุ และสาเกส่งไปให้กับเมืองหลวง ภายหลังรัฐบาลพบว่าเมืองแห่งนี้ยังคงกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่โบราณ จึงอนุรักษ์พื้นที่นี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : –
วันหยุด : –
ค่าใช้จ่าย : ค่าล่องเรือ 1,300 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Narita โดยสารรถไฟสาย JR Narita สายที่วิ่งไป Chosi ลงที่สถานี Sawara ใช้เวลาประมาณ 42 นาที
เว็บไซต์ : http://www.suigo-sawara.ne.jp/abroad_ta_top.html
18. ถนน Naritasan Omotesando
เดินเล่น ช้อป ชม ชิมของอร่อยบนถนน Naritasan Omotesando ถนนสายเก่าแก่ที่มีบรรยากาศญี่ปุ่นแบบแท้ๆ ที่มีความยาวกว่า 800 เมตร ตั้งอยู่ใกล้กับวัดนาริตะซัง
ระหว่างทางมีโชว์ละครลิงให้ชม
เซ็มเบย่างโชยุ
ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : ร้านค้าต่างเริ่มเปิดทำการตั้งแต่เวลา 09.00 น.
วันหยุด : เปิดทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : –
วิธีการเดินทาง : จากสถานี JR Narita หรือ สถานี Keisei Narita สามารถเดินไปได้ประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ : https://www.nrtk.jp/translate/index.php?lang=th&path=/enjoy/attraction/omotesando.html
19. Ryokan Onoya Restaurant
ร้านข้าวหน้าปลาไหลโอโนยะเป็น ร้านข้าวหน้าปลาไหลเก่าแก่ ปรุงด้วยสูตรลับเฉพาะ ตึกปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อ 70 ปีก่อน โดยสร้างจากไม้โอ๊คสายพันธุ์ที่ไม่สามารถหาได้ในญี่ปุ่นอีกแล้ว แต่เดิมในสมัยก่อนอาคารแห่งนี้เคยใช้เป็นที่พัก มีอายุมากว่า 300 ปี อีกทั้งยังมีเวทีแสดงละครโนห์อยู่ในอาคารด้วย ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 10.00 – 16.00 น. เฉพาะวันที่ 31 ธันวาคม เปิดเวลา 07.00 – 19.00 น.
วันหยุด : เช็คได้จากทางหน้าเว็บไซต์หลัก
ค่าใช้จ่าย : ไซส์ L ราคา 4400 เยน, เซทข้าวพร้อมซุป 4600 เยน / ไซส์ M ราคา 3100 เยน, เซทข้าวพร้อมซุป 3300 เยน
วิธีการเดินทาง : ตั้งอยู่บนถนน Naritasan Omotesando จากสถานี JR Narita หรือ สถานี Keisei Narita สามารถเดินไปได้ประมาณ 15-20 นาที
เว็บไซต์ : http://ryokan-oonoya.wixsite.com/oonoya-1#!services/ca4p?