ไปเที่ยวญี่ปุ่น JR Pass จำเป็นมากแค่ไหน (ตอน 2)

ไปเที่ยวญี่ปุ่น JR Pass จำเป็นมากแค่ไหน ตอน 2 

ตอนที่แล้ว ได้ลองวิเคราะห์เส้นทางยอดนิยมในแถบคันโตและคันไซไปเรียบร้อยแล้ว มาคราวนี้เราลองมาวิเคราะห์เจาะลึกกับเส้นทางใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมกันบ้าง โดยจะยกตัวอย่างมา 4 เส้นทางก่อนนะครับ พอจะได้มีไอเดียว่า เที่ยวโซนไหนควรใช้พาสอะไรอย่างไร สามารถติดตามอ่านตอนแรกได้จากลิงค์ข้างล่างนี้

ไปเที่ยวญี่ปุ่น JR Pass จำเป็นมากแค่ไหน (ตอน 1)

เส้นทางใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม

  1. แถบจูบุ – นาโกย่า ทาคายาม่า ชิราคาวาโกะ คานาซาว่า
  2. แถบฮอกไกโด – ซัปโปโร โอตารุ ฮาโกดาเตะ โนโบริเบ็ทสึ อาซาฮิคาว่า ฟุราโนะ
  3. แถบคิวชู – ฟุกุโอกะ นางาซากิ คุมาโมโต้ เบปปุ ยูฟุอิน
  4. แถบโทโฮขุ – เซนได ยามากาตะ อิวาเตะ ฟุคุชิมะ
  • ตัวอย่างเส้นทางที่ (4) เส้นทางนี้ดูจะเป็นเส้นทางที่ตัดสินใจยากกว่าเส้นทางอื่น เพราะไม่มีพาสเที่ยวเฉพาะภูมิภาคนี้ และถ้าจะต้องใช้ก็ต้องเลือกระหว่าง JR Kanto Pass ซึ่งไม่ครอบคลุมทั้งหมด และถ้าจะใช้แบบ JR Pass ทั่วประเทศก็กลัวจะใช้ไม่คุ้ม ลองมาดูรายละเอียดเส้นทางกันก่อนครับ ว่าเริ่มต้นจากไหนไปไหนและค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร

    วิธีการเริ่มต้นเที่ยวที่ง่ายที่สุดคือ นั่งเครื่องไปลงที่สนามบินจูบุในเมืองนาโกย่าและตั้งต้นจากที่นั่น และเที่ยวเป็นลูปวงกลม แต่ทั้งนี้ถ้าจะเริ่มเที่ยวจากโตเกียวก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะการเดินทางบางส่วนอาจใช้ JR Kanto Pass ช่วย ส่วนขากลับถ้าปิดท้ายที่เมืองคานาซาว่า สามารถนั่งรถไฟตรงเข้าเกียวโต และกลับจากสนามบินคันไซได้ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่าย ในการเดินทางข้ามภูมิภาคเพิ่มเติมเข้ามา แต่ในกรณีนี้คือเราจะเลือกไป-กลับจากนาโกย่านะครับ จากสนามบินจูบุ หรือ CENTRAIR นั่งรถไฟ Meitetsu ใช้เวลาเพียง 40 นาที ในการเดินทางเข้าตัวเมือง ค่ารถไฟ 850 เยน

    • นาโกย่า สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการ Meguru Loop Bus ตั๋ววันราคา 500 เยน หรือจะเลือกใช้บริการ Subway ที่มีวิ่งอยู่ทั่วทั้งเมือง
    • ทาคายาม่า เดินทางจากนาโกย่า นั่ง Limited Express ida Wide ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. ค่ารถ 5360 เยน และภายในเมืองสามารถเดินเที่ยวชมได้ทั่วทั้งเมือง ควรมีเวลามากกว่า 4 ชั่วโมง
    • ชิราคาวาโกะ นั่งรถ Nohi Bus จากทาคายาม่า ไปกลับ ราคา 4300 เยน
    • คานาซาว่า สามารถนั่งรถบัสได้จากทาคายาม่า (3300 เยน) และชิราคาวาโกะ (1800 เยน) ถ้าเลือกนั่งรถไฟ จะต้องต่อหลายครั้งและค่าใช้จ่ายมากกว่า

    ระหว่างทางจากทาคายาม่า หากมีเวลาสามารถแวะเที่ยว Gero Onsen ได้ด้วย ใช้เวลา 45 นาที ค่ารถไฟ 1580 เยน

    สรุป การเดินทางในโซนนี้ ไม่มีพาสที่ใช้เที่ยวได้ทั้งหมด และต้องมีการนั่งรถไฟสลับกับรถบัส ทำให้ต้องรักษาเวลาเป็นอย่างมาก เนื่องจากตารางรถบัสจะออกไม่ถี่เท่ารถไฟ ถ้าพลาดอาจจะทำให้ต้องรอนานและเสียเวลาเที่ยวได้ แต่โดยรวมทำได้ไม่ยาก หากมีเวลาประมาณ 5-7 วัน สามารถเที่ยวโซนนี้ได้อย่างสบายๆ การเดินทางอาจจะต้องซื้อเป็นเที่ยวในการไปแต่ละแห่ง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางอาจจะต้องใช้ราว 20000 เยนเป็นอย่างน้อย ไม่ถือว่าแพงเกินไปครับ

  • ตัวอย่างเส้นทางที่ (5) เส้นทางเที่ยวเฉพาะในเกาะฮอกไกโด หมายความว่าจะต้องบินไปลงสนามบินที่ใดที่หนึ่งในเกาะ เช่น สนามบินนิวชิโตเสะ ที่ใกล้กับเมืองซัปโปโรมากที่สุด มีทั้งเที่ยวบินตรงจากไทย และเที่ยวบินภายในประเทศจากโตเกียว และโอซาก้า (ในกรณีที่ไม่ได้บินตรงไปลงที่เกาะฮอกไกโดแนะนำให้นั่งเที่ยวบินภายในประเทศซึ่งนอกจากจะไม่แพงแล้ว ยังประหยัดเวลาเดินทางไปได้เป็นวัน) หลังจากที่เดินทางถึงฮอกไกโดแล้ว หากมีเวลาประมาณ 6-7 วัน สามารถเที่ยวตอนกลางและตอนล่างของเกาะได้แบบพอดีๆด้วย JR Hokkaido Rail Pass แบบ 5 วัน ราคา 19,500 เยน (นอกจากนี้ยังมีแบบ 3 วัน, 7 วัน และแบบอิสระ 4 วัน ดูรายละเอียด ที่นี่)

    บนเกาะฮอกไกโดไม่มีชิงคังเซน ต้องใช้ขบวนธรรมดาและขบวนด่วนในการเดินทางข้ามเมืองซึ่งถือว่ามีความสะดวกเช่นกัน การเดินทางเริ่มต้นจากสนามบินชิโตเสะเข้าเมืองซัปโปโร เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการเที่ยวเมืองรอบๆ

    • ภายในซัปโปโร สามารถเดินเที่ยวได้ ยกเว้นว่าจะเดินทางออกนอกใจกลางเมืองต้องนั่งรถใต้ดิน
    • โอตารุ นั่งรถไฟจากซัปโปโรใช้เวลา 45 นาที ค่ารถ 620 เยน สามารถเดินเที่ยวได้ทั่วทั้งเมืองโอตารุ
    • โนโบริเบทซึ ต้องนั่งรถบัสต่อไปยังจุดท่องเที่ยวและบริเวณน้ำพุร้อน ค่ารถบัส 330 เยน
    • ฮาโกดาเตะ สามารถเดินทางโดยรถรางเที่ยวได้ทั้งเมือง ขึ้นลงครั้งละ 200 เยน หรือซื้อตั๋ววันราคา 600 เยน
    • อาซาฮิคาว่า ในตัวเมืองเดินเที่ยวได้แต่ถ้าต้องการไปสวนสัตวอาซาฮิยาม่า ต้องนั่งรถบัสต่อราคา 400 เยน
    • ฟุราโนะ สามารถนั่งรถไฟมาได้ทั้งจาก ซัปโปโรและอาซาฮิคาว่า

    สรุป ถ้ามีเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เริ่มใช้พาสในวันที่ต้องเดินทางไกลออกนอกเมืองอย่าง โนโบริเบทซึ, ฮาโกเดเตะ เป้นต้นไป และไม่ควรไปแบบเช้าเย็นกลับ ควรแวะพักระหว่างทางจะได้เที่ยวได้เต็มที่และไม่เหนื่อยเดินทาง ออกจะเลือกค้างโนโบริเบ็ทซึสักคืนแล้วค่อยเดินทางต่อไปฮาโกดาเตะในวันรุ่งขึ้น และค้างคืนที่ฮาโกดาเตะ ก่อนเดินทางกลับซัปโปโรเพื่อเที่ยวโซนฝั่งอาซาฮิคาว่าและฟุราโนะ ส่วนการเดินทางไปกลับจากสนามบินนั้นไม่แพง ไม่จำเป็นต้องใช้พาสก็ได้ครับ 1040 เยน

  • ตัวอย่างเส้นทางที่ (6) เส้นทางเที่ยวเฉพาะในเกาะคิวชูตอนบน เริ่มต้นโดยการบินไปลงสนามบินที่ใดที่หนึ่งในเกาะ เช่น สนามบินฟุกุโอกะ ที่ใกล้กับเมืองฟุกุโอกะมากที่สุด มีทั้งเที่ยวบินตรงจากไทย และเที่ยวบินภายในประเทศจากโตเกียว และโอซาก้า เช่นกัน (ในกรณีที่ไม่ได้บินตรงไปลงที่เกาะคิวชูแนะนำให้นั่งเที่ยวบินภายในประเทศซึ่งนอกจากจะไม่แพงแล้ว ยังประหยัดเวลาเดินทางไปได้เป็นวัน) หลังจากที่เดินทางถึงคิวชูแล้ว หากมีเวลาประมาณ 8-10 วัน สามารถเที่ยวตอนบน ของเกาะได้แบบพอดีๆด้วย JR Northern Kyushu Rail Pass โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง แบบ 3 วัน ราคา 7000 เยน และ แบบ 5 วัน ราคา 9000 เยน

    สาเหตุที่ต้องแบ่งการเดินทางออกเป็น 2 ช่วงเพราะเลี่ยงการแบกกระเป๋าใบโตติดตัวไปตลอดทางและใช้เมืองฟุกุโอกะเป็น จุดศูนย์กลางในการเดินทางเที่ยว และทริปนี้จะต้องเที่ยวเป็นวงกลมและมีการค้างคืนต่างเมืองเพื่อไม่ให้เสียเวลา ในการนั่งรรถไฟย้อนเส้นทางเดิม ช่วงแรกใช้เวลา 3 วัน ดาไซฟุ-นางาซากิ-Huis Ten Bosch/ซางะ และช่วงที่สองใช้เวลา 5 วัน ฟุกุโอกะ-คุมาโมโตะ-ภูเขาไฟอะโซะ-เบปปุ-ยูฟุอิน-โคคุระ

    • ฟุกุโอกะ จากสนามบินสามารถนั่งรถใต้ดินมายังสถานีฮากาตะหรือเทนจินเพียงครึ่งชั่วโมง  สามารถเดินเที่ยวได้ และถ้าจะออกไปเที่ยวนอกตัวเมือง เช่น Momochi Seaside Park สามารถนั่ง Loop bus หรือรถบัสทั่วไปก็ได้เช่นกัน
    • ดาไซฟุ ต้องซื้อตั๋ววันของบริษัท Nishitets ราคา 1000 เยน JR Kyushu Pass ไม่สามารถใช้ได้
    • นางาซากิ จากฟุกุโอกะใช้เวลาราว 2 ชม. เที่ยวภายในตัวเมืองด้วยรถราง ตั๋ววันราคา 500 เยน และจากนางาซากิไปเที่ยว Huis Ten Bosch ควรมีเวลาอีก 1 วัน ไม่แนะนำให้เที่ยวภายในวันเดียว เพระตัวเมืองนางาซากิมีที่ให้เที่ยวเยอะมาก
    • ซางะ เป็นจังหวัดเล็กๆทางผ่านอีกเส้นทาง สามารถแวะเที่ยวได้ระหว่างขากลับจากนางาซากิเข้าฟุกุโอกะ เที่ยวภายในเมืองด้วยตั๋วรถบัส 1 วันราคา 350 เยน
    • คุมาโมโตะ นั่งชิงคังเซนจากสถานีฮากาตะใช้เวลา 38 นาที และใช้ตั๋ว 1 วันราคา 500 เยน ที่ใช้ขึ้นทั้งรถรางและรถบัสเที่ยวได้ทั้งเมือง
    • ภูเขาไฟอะโซะ จากคุมาโมโต้สามารถนั่งรถไฟขบวนด่วนไปลงที่สถานีอะโซะใช้เวลาประมาณ 70 นาที หลังจากนั้นต้องนั่งรถบัสต่อไปยังจุดชมภูเขาไฟอีก 40 นาทีแนะนำให้ซื้อตั๋ว Aso valley Course ที่รวมทั้งรถบัสที่จะพาขึ้นไปปล่องภูเขาไฟและทัวร์ที่จะพาไปชมจุดอื่นๆของเมือง ในราคาเพียง 2500 เยน
    • เบปปุ สามารถเดินทางมาได้ทั้งจากฟุกุโอกะหรือคุมาโมโต้/อะโซะขึ้นอยู่กับว่าจะเริ่มต้นเที่ยวจากทิศทางไหน My Beppu Free Pass ราคา 900 เยน ในการขึ้นรถบัส เที่ยวในตัวเมืองเบปปุและบ่อน้ำพุร้อนทั้งแปด ส่วนตั๋วค่าเข้าบ่อน้ำพุร้อน Jigoku Meguri แบบเหมาจ่ายทั้ง 8 แห่งราคา 2000 เยน
    • ยูฟุอิน ใช้ JR Pass ขึ้นขบวน Yufuin-no-mori ได้วิ่งจาก Hakata-Oita-Yufuin ในเมืองสามารถเดินเที่ยวเองได้
    • โคคุระ ขากลับก่อนเข้าฟุกุโอะกะเผื่อเวลาเเวะเที่ยวหัวเมืองของเกาะคิวชูกันสักหน่อย เมืองนี้ค่อนข้างเจริญและมีปราสาทอาคารเก่าแก่ที่ควรค่าแก่การแวะชม สามารถเดินเที่ยวได้ทั้งเมือง

    สรุป การเดินทางภายในคิวชู JR Kyushu Pass มีบทบาทเพียงแค่การเดินทางข้ามเมืองเท่านั้น และต้องเที่ยวแบบเป็นลูปคือไม่เดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิม จะช่วยให้เที่ยวได้เต็มอิ่มมากขึ้น อาจจะมีเหนื่อยเรื่องการขนย้ายสัมภาระกับการเปลี่ยนโรงแรมบ้าง เพราะฉะนั้นต้องเตรียมตัวให้ดี ค่อยๆเที่ยว ไม่ต้องรีบร้อน ถ้ามีเวลามากกว่า 8 วัน สามารถลงไปเที่ยวได้ถึงเมืองทางใต้อย่าง คาโงะชิมะและมิยาซากิ ควรมีเวลาให้เมืองละ 2 วันเป็นอย่างน้อย

  • ตัวอย่างเส้นทางที่ (7) เส้นทางเที่ยวในภูมิภาคโทโฮขุจากเมืองเซนได หลังจากที่การบินไทยเปิดให้บริการเที่ยวบินตรง จากกรุงเทพฯไปยังเมืองเซนได ซึ่งถือว่าเป็นประตูเปิดสู่ภูมิภาคโทโฮขุอย่างแท้จริง เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล จากโตเกียวอีกต่อไปแล้ว และวิธีนี้ทำให้เราไม่จำเป็นต้องเลือกใช้ JR East Pass ชนิด 5 วันราคา 22000 เยนก็ได้ ถ้าเพียงจะเที่ยวในจังหวัดรอบๆเซนได และไม่ได้ไปไกลถึงอาโอโมริหรืออะคิตะ

    แล้วถ้าไม่ใช้ JR East Pass จะใช้อะไรเที่ยว? จากเซนไดมีตั๋วหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ แต่ที่นิยมมากน่าจะเป็น Sendai Marugoto Pass ตั๋วชนิด 2 วันราคา 2600 เยน ที่สามารถนั่งรถเที่ยวได้รอบเมืองเซนได Matsushima, Zao, Shiroishi, และ Yamadeara เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีตั๋ววัน Chiisana Tabi Holiday Pass ที่ใช้นั่งรถไฟไปไหนก็ได้ในโซน Minami Tohoku Area หรือโทโฮขุฝั่งใต้ เหมาะสำหรับนั่งรถไฟไปยังเมืองที่ออก ไปไกลหน่อยอย่าง มรดกโลก Hiraizumi ใในจังหวัดอิวะเตะ และ ฟุคุชิมะ โดยตั๋ววันนี้ราคา 2600 เยน เท่ากัน โดยตั๋วชนิดนี้จะมีขายเฉพาะช่วงปลายปีจนถึงเดือนมีนาคม ทดแทนรรถบัสวิ่งข้ามเมืองที่จะหยุดให้บริการในช่วงฤดูหนาว แต่อย่างไรก็ตาม ชนิดตั๋วอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งปี ลองเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวดูก่อน และให้เค้าช่วยลองแนะนำประเภทของตั๋วดูครับ

    • เซนได สามารถเที่ยวได้ทั่วทั้งเมืองด้วย Loople Sendai Bus ตั๋ววันราคา 600 เยน และถ้าจะไปเที่ยวเกาะ Matsushima ต้องนั่ง JR สาย Senseki ออกไปอีก 40 นาที (400 เยน)
    • ยะมะงะตะ ถ้าใช้พาส Sendai Marugoto จะนั่งมาได้ถึง Yamadera และต้องต่อรถไฟสาย Senzan ไปยังปลาทางที่สถานี Yamagata ใช้เวลาอีก 15 นาที (230 เยน) ทั้งสองเมืองเที่ยวได้ด้วยการเดินเท้า
    • อิวะเตะ ถ้าจะไปเที่ยวเฉพาะมรดกโลก Hiraizumi สามารถนั่งรถไฟจาก Sendai ไปลงที่สถานี Ichinoseki และเปลี่ยนขบวนเพื่อไปยังสถานี Hiraizumi หรือจะเลือกนั่งรถบัสไปก็ได้เช่นกัน เนื่องจากรถไฟมีเพียงชั่วโมงละรอบ (310 เยน) หรือถ้าไม่ใช่ช่วงฤดูหนาวจะมี Highway Bus วิ่งตรงจากหน้าสถานี Sendai ราคา 1700 เยน
    • ฟุคุชิมะ จะเลือกวิธีการเดินเที่ยวชมเมืองหรือนั่ง Shuttle Bus จากหน้าสถานีก็ได้

    นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปเที่ยวยัง Zao Onsen, Naruko Onsen, Ginsan Onsen ได้สะดวกเช่นกัน

    สรุป จากเซนได เราสามารถไปเที่ยวจังหวัดยะมะงะตะ ฟุคุชิมะ และ อิวะเตะ ได้อย่างง่ายดาย สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ เพราะแต่ละเมืองเป็นการเที่ยวแบบรอบทิศโดยมีเซนไดเป็นจุดศูนย์กลาง หรือจะไปพักค้างคืนแช่น้ำพุร้อนสัก 1 คืน ก็สามารถทำได้ โดยฝากสัมภาระชิ้นใหญ่ไว้ที่โรงแรมในเซนได มีสัก 4-5 วันก็เที่ยวโซนที่ว่ามานี้ได้พอสมควรแล้วครับ

  • ChubuFeaturedFukuokaHokkaidoJR passKyushuNagoyaSapporoSendaishirakawagotakayamatohokuคิวชูจูบุซัปโปโรญี่ปุ่นนาโกย่าฟุกุโอกะรถไฟฮอกไกโดเจอาร์เจอาร์พาสเซนไดเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองโทโฮขุ