Japan through my eyes: เที่ยวในวันที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี โตเกียว และ เมืองรอบๆ

Story & Photo by Pakamon

ก่อนจะเริ่มแบกกล้องเที่ยว ต้องขอขอบคุณผู้มอบโอกาสดีๆ ให้กับเราที่ทำให้เที่ยวเพลินเกือบลืมกลับบ้าน นั่นก็คือ แอดมินจากเพจ เที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม (ฝากติดตามด้วยนะคะ ข้อมูลท่องเที่ยวอัดแน่นมาก แล้วยังมีกิจกรรมดีๆ ให้อยู่ตลอด) และสปอนเซอร์ที่สนับสนุนตั๋วเครื่องบินในการเดินทางของเราในครั้งนี้ AirAsia สายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลก 10 ปีซ้อน

ครั้งนี้จองไทยแอร์เอเชียร์เอ็กซ์ เส้นทางไปกลับ กรุงเทพ (ดอนเมือง) – โตเกียว (นาริตะ) มีให้เลือก 3 เที่ยวบินต่อวัน

  • ขาไป DMK-NRT 04.25-12.40 / 10.45-19.00 / 23.45-08.00
  • ขากลับ NRT-DMK 09.15-14.05 / 13.55-19.05 / 20.15-01.25

การเดินทางจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 วัน

  • วันที่ 1: Tokyo
  • วันที่ 2: Ibaraki – Hitachi seaside park
  • วันที่ 3: Nagano – Kamikochi
  • วันที่ 4: Back to Tokyo
  • วันที่ 5: Yamanashi – Kawaguchiko & Saiko
  • วันที่ 6: Yamanashi – Kawaguchiko
  • วันที่ 7: Niigata – Mount Naeba

DAY 1 – Tokyo

วันแรก (17 ตุลาคม 2561)

เริ่มต้นวันชิวๆ teamLab Borderless, Tokyo จุดหมายนี้เป็นที่ที่ตั้งใจจะมามาก จากการศึกษาวิธีการซื้อบัตรเข้าชมก็ไม่ได้ยาก เพียงแค่คลิก ที่นี่ จะมีให้เลือกวันที่เข้าชม แต่แนะนำให้จองล่วงหน้านานๆสักหน่อย เผื่อบัตรหมดจะได้เปลี่ยนแพลนได้ทันค่ะ หลังจากที่เราจองและชำระเงินเรียบร้อย จะได้รับ QR code ผ่านทาง E-Mail ที่ได้ลงทะเบียนไว้ เราต้องนำ QR code นั้นมา scan ก่อนเข้าชม สามารถเปิดผ่าน smart phone ทาบกับตัวเครื่อง scan ได้เลย

  • ราคาบัตร : ผู้ใหญ่ (ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) 3,200 เยน / เด็ก (4-14 ปี) 1,000 เยน
  • เวลาเปิด-ปิด : วันจันทร์-ศุกร์ 10.00-19.00 น. / วันเสาร์, อาทิตย์และวันหยุด 10.00-21.00 น. / จะปิดให้บริการในวันอังคาร สัปดาห์ที่ 2 และ 4 ของเดือน
  • สถานที่จัดงาน : MORI Building DIGITAL ART MUSEUM
  • วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟมาลงที่ Tokyo Teleport Station (Rinkai Line), Aomi Station (Yurikamome Line) เดินต่ออีกประมาณ 5 นาที

“Forest of Flowers and People: Lost, Immersed and Reborn” มุมนี้หากเราไปยืนนิ่งๆ ดอกไม้จะค่อยๆ เบ่งบานรอบตัวเรา แต่หากเราไปสัมผัสที่ดอกไม้ หรือเดินเข้าไปใกล้ๆ ดอกไม้ก็จะร่วงโรย

“Universe of Water Particles on a Rock where People Gather” จุดนี้น่าจะเป็นไฮไลต์สำหรับที่นี่ เป็นงานศิลปะที่สร้างขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติที่สุด หากเราไปยืนขวางหรือเอามือไปแตะบนเส้นน้ำไหล น้ำจะเปลี่ยนทิศทางการไหล

“Forest of Resonating Lamp” เป็นห้องที่เต็มไปด้วยโคมไฟ ดูเหมือนห้องใหญ่มาก แต่ด้วยความที่เป็นกระจก มันเป็นเป็นภาพสะท้อนให้ดูกว้างใหญ่กว่าความเป็นจริง ระหว่างที่ยืนรอคิวเข้า เราจะเห็นมันเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามคนที่เดินเข้าไป ห้องนี้คนต่อคิวกันค่อนข้างเยอะ จึงจำกัดเวลาในการเข้าชมรอบละไม่ถึง 5 นาที ดังนั้นเตรียมกล้องให้พร้อม แล้วกดชัตเตอร์รัวๆ ค่ะ ไม่งั้นต้องเสียเวลาไปต่อแถวใหม่ แถวยาวมากกกก

“The Haze” เป็นงาน Light Sculpture เป็นห้องมืดที่เหมือนไม่มีอะไร แต่มีอะไร เข้าไปแล้วตื่นเต้น ตื่นตามาก

“Weightless Forest of Resonating Lift” เมื่อเราไปสัมผัสกับวัตถุชิ้นใดชิ้นหนึ่ง สีของมันจะเปลี่ยนไป วัตถุเหล่านี้ล้วนแต่เคลื่อนไหวต้านแรงโน้มถ่วง วัตถุที่ลอยอยู่ไม่ยอมตกลงมาที่พื้น ส่วนที่อยู่บนพื้นก็ไม่ยอมล้มลง โซนนี้เล่นซ่อนหากันสนุกมาก 5555

“Aerial Climbing through a Flock of Colored Birds”

“Multi Jumping Universe” พื้นที่ที่เป็นตาข่าย เพื่อให้เราลงไปกระโดด ยิ่งกระโดด ดาวดวงเล็กๆ จะเริ่มใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้น จนเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ดวงดาวเกิดการสลายตัว เป็นการเรียนรู้วงจรของจักรวาล

“Graffiti Flowers Bombing” กำแพงของบันไดที่ทอดยาวไปยังชั้น 2 พอเราเดินขึ้นไปมันก็จะเคลื่อนตัวตามเราไปด้วย


DAY 2 – Hitachi seaside park
วันที่ 2 (18 ตุลาคม 2561)

วันนี้เราเปิดใช้ JR East Pass (Nagano, Niigata) เป็นวันแรก เราจะประเดิมเส้นทางแรกสำหรับพาสนี้ ปลายทางเราอยู่ที่ “Hitachi Seaside Park” เราจะไปดูต้น Kochia กัน

การเดินทาง : นั่งรถไฟจาก Ueno Station ไปลงที่ Katsuta Station

สำหรับ JR East Pass (Nagano, Niigata) สามารถใช้ได้เป็นระยะเวลา 5 วัน แบบไม่จำเป็นต้องติดต่อกัน แต่มีกำหนดการใช้ภายใน 14 วันหลังจากที่เปิดใช้เป็นวันแรก ข้อมูลเส้นทางที่ครอบคลุม สามารถดูเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ราคา (ซื้อในไทย) : ผู้ใหญ่ 17,000 เยน / เด็ก 8,500 เยน
ราคา (ซื้อในญี่ปุ่น) : ผู้ใหญ่ 18,000 เยน / เด็ก 9,000 เยน

เมื่อออกจาก Katsuta Station เดินออกมาทางขวา แล้วเลี้ยวซ้ายลงบันไดเลื่อน จะเจอจุดจอดรถประจำทางที่จะพาเราไป “Hitachi Seaside Park” แต่ในช่วงเทศกาลเช่นนี้ จะมีเจ้าหน้าที่มาตั้งโต๊ะขายบัตรรวมค่าเข้าสวน และค่ารถประจำทางไป-กลับ เรียกง่ายๆ ก็คือบัตรเหมาจ่าย จ่ายรอบเดียว รอบอื่นๆ ก็เพียงยื่นบัตรให้ดู (จะซื้อแยกแต่ละส่วนก็ได้ แต่ยังไงมูลค่ารวมก็เท่ากันแต่จะเสียเวลายืนรอคิวหากวันนั้นคนเยอะ) ราคาบัตร 1,200 เยน

เราไปยืนรอตั้งแต่ประตูรั้วยังไม่เปิด แต่ก็มีแถวเรียงคิวรอยาวมากเช่นกัน พอประตูเปิดเท่านั้น…เหล่าหมู่มหาประชาชน ก็พร้อมใจกันเดินลิ่วๆ ไปที่ต้น “Kochia” แนะนำว่าไปแต่เช้าที่สุดเท่าที่ทำได้ ไปยืนรอหน้าประตู แล้ววิ่งให้ไวที่สุด ถ้าอยากได้รูปแบบไร้ผู้คน 55555

“Kochia” สีแดงสวยๆ

Cosmos ก็มี เบ่งบานสุดๆ


DAY 3 – Kamikochi

วันที่ 3 (19 ตุลาคม 2561)

เรามานอนที่ Matsumoto ตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อเช้าวันนี้เราจะไป Kamikochi กันตั้งแต่รถบัสรอบแรก 05.30 น. (รอบนี้เป็นรอบเดียวที่จะนั่งบัสออกจาก Matsumoto Bus Terminal ไปยัง Kamikochi เลย แต่รอบอื่นต้องนั่งรถไฟจาก Matsumoto Station ไปลงที่ Shin-shimashima Station แล้วต่อรถบัสไป Kamikochi อีกที) สามารถเช็ครอบรถบัสได้ ที่นี่

ราคาบัตร : ผู้ใหญ่ (อายุ 12 ปี ขึ้นไป) ไป-กลับ 4,550 เยน เที่ยวเดียว 2,450 เยน / เด็ก (อายุ 6-11 ปี) ไป-กลับ 2,280 เยน เที่ยวเดียว 1,230 เยน

***ก่อนแพลนมาที่นี่ ต้องเช็คให้มั่นใจว่ายังอยู่ในช่วงที่เปิดให้เข้า ในปีนี้เปิดตั้งแต่ 17 เมษายน ถึง 15 พฤศจิกายน 2561***

หลังจากรถบัสเคลื่อนตัวออกมา จนถึงจุดที่เราจะลง ที่นี่ก็คือ “Taisho-ike Pond” ขณะนั้นเวลา ~07.00 น. กับอุณหภูมิ ~3 องศา หนาวแบบต้องเปิดกระเป๋าเอาถุงมือมาใส่กันเลยทีเดียว ขาสั่น ปากสั่น แต่พอเดินลงมาริมน้ำเห็นวิวเท่านั้นแหละ….หนาวเหมือนเดิม ฮ่าาาาาๆ วิวสวยมากกกก หมอกจางๆ เมฆที่ลอยต่ำๆ ใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสี คุ้มค่ากับการที่ตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่มาหน่อย สามารถดูข้อมูล Kamikochi ได้ >> ที่นี่

“Taisho-ike Pond” หมุนตัวมาอีกหน่อย ก็จะได้มุมแบบนี้ เอาเป็นว่ายืนอยู่ตรงนี้ หมุนองศาไหน วิวตรงหน้าก็สวยไปหมด

พอถ่ายรูปจากจุดแรกจนพอใจแล้ว ก็มองซ้ายขวาหาทางเดินต่อไปยังจุดถัดๆไป ความตั้งใจแรกจะเดินจาก “Taisho-ike Pond” ไป Kappa Bridge ระยะทาง ~ 3 กิโลเมตร มาดูกันว่าความตั้งใจแรกจะเป็นยังไง ระหว่างทางจะเจออะไรบ้าง ลุยๆ

เดินมาได้แปบเดียว หันมาทางซ้าย เราก็เจอกับ “Mt. Yakedake”

แม่น้ำ Azusa และ Mt. Yakedake

จุดถัดไป “Tashiro Pond” จุดนี้เป็นอีกจุดที่สวยมาก ช่างภาพมายืนถ่ายภาพตรงนี้กันมากมาย เราต้องหาจังหวะแทรกตัวเบาๆ ไปเก็บภาพมาสักหน่อย

วิวระหว่างทางเขียวชะอุ่ม เงียบสงบ เดินอยู่ลำพัง อย่ามีอะไรโผล่มาก็พอ ขี้เกียจวิ่ง 5555

แล้วเราก็ถึง “Tashiro Bridge” ยืนบนสะพานด้านหนึ่งจะเห็นวิวแบบนี้

ยืนบน “Tashiro Bridge” หันมาอีกด้านจะเห็นแบบนี้

เริ่มจะเห็น Japan Alps

เดินข้าม Tashiro Bridge มาแล้วเลี้ยวซ้าย เดินริมแม่น้ำ Azusa มาเรื่อยๆ ก็จะเจอวิวสวยๆ มากมาย วิวนี้พระอาทิตย์เริ่มจะโผล่พ้นภูเขา

แล้วเราก็มาถึง “Kappa Bridge” มองไปทางขวามือ รูปนี้ยังไม่ค่อยเห็น เอาบรรยากาศรวมๆ ไปก่อนนะ

หันหลังมาเก็บภาพอีกนิด งามแท้

กลาง “Kappa Bridge”

เมื่อเรายืนอยู่บน “Kappa Bridge” เราก็จะเห็นวิวของ “Japan Alps” เดินมาถึงตรงนี้ 9 โมงเช้า ทะเลาะกับตัวเองว่าไปไหนต่อดี เป้าหมายแรกเสร็จสิ้นไปแล้ว เหลือทางให้เลือก 2 ทาง 1. กลับเข้าไป Matsumoto 2. เดินต่อ

หลังจากที่ทะเลาะกับตัวเองได้สักพัก ผลออกมาที่ว่า “ไหนๆ ก็มาละ เดินต่ออีกสักนิด ไม่ไหวก็ถอยกลับ” ระยะทางจาก Kappa Bridge ไป Myojin Bridge แล้ววนกลับมา Kappa Bridge อีกครั้ง ~10-11 กิโลเมตร ดูสิจะเดินได้ไกลแค่ไหน ฮ่าาาๆ  เมื่อหันหน้าเข้า Japan Alps เราเลือกเดินไปทางฝั่งซ้ายมือ (ไปได้ทั้งสองฝั่ง)

เส้นทางในป่านั้น ก็ไม่ได้ลำบากจนเกินไปมากนัก ไม่ถึงกับขั้นต้องปีนป่าย แต่ทางก็ไม่ได้ราบเรียบ มีหิน มีเนิน มีสะพาน ออกแนววิบากแบบเบาๆ แต่วิวข้างในนี่ให้ 10/10 ไปเลย ก็คิดถูกเลือกเดินเข้ามา (ณ ตอนนั้น คิดแบบ เห้ยย!! นั่นก็สวย นี่ก็สวย)

ใบไม้ส้ม ใบไม้แดง ก็มี

เดินมาถึงจุดนี้ เริ่มเหนื่อย… แต่มาถึงนี่จะถอยกลับก็ไม่ได้ เดินกลับก็เท่ากับเดินต่อไปข้างหน้า งั้นเลือกกลั้นใจเดินต่อ 5555

ถึงแล้วจ้าาา “Myojin Bridge”

มองมาทางซ้ายมือ จะมีทางเข้ามาดู “Myojin Pond” มีค่าเข้า 300 เยน

เดินข้ามสะพาน “Myojin Bridge” มาแล้วขอหันหลังเก็บภาพประทับใจอีกสักรอบ เดินเหนื่อยไม่เท่าไหร่ถ้าเดินมาแบบตัวเบาๆ ชิวๆ นี่แบกกล้องมา 2 ตัว แต่ไม่มีกล้องก็ไม่ได้ แล้วจะบ่นทำไม 55555

ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเห็นเหล่าตากล้องมากมาย เห็นแล้วค่อยมีกำลังใจเดินต่อหน่อย

เจอตรงไหนสวยก็แวะถ่ายรูป เอาตรงๆ หมุนตัว 360 ไม่ว่าตรงไหนก็สวย

ในที่สุดก็เดินกลับมาถึงสะพาน “Kappa Bridge” จนได้ รอดแล้วๆ แต่ขานี่สั่นพับๆ คราวนี้ที่สั่นไม่ได้เพราะหนาว แต่ที่เดินมาหลายๆ ชั่วโมงนั้น มันก็โหดร้ายพอควรสำหรับคนไม่ออกกำลังกายอย่างเรา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าตั้งแต่ 07.00 น. ที่เริ่มเดินมาเป็นระยะทางทั้งสิ้น ~ 15 กิโลเมตร กับการเดินทางที่ไม่เรียบก็เอาเรื่องอยู่ เดินมาขนาดนี้โลกไม่จำแต่เราจำ 55555

ก่อนจะเดินไปขึ้นรถบัสกลับเข้า Matsumoto ถ่าย “Kappa Bridge” สักรูป ต้องรีบกลับแล้ว เพราะฝนเตรียมจะตก พอขึ้นรถปุ๊บ ฝนตกปั๊บ ถือว่าแต้มบุญยังพอเหลือ..ไว้มาใหม่นะ


DAY 4 – Back to Tokyo

วันที่ 4 (20 ตุลาคม 2561)

เปิดวันมาก็ค่ำเลย ถามว่าช่วงเช้า กลางวัน ไปไหนละ ตอบก่อนหนึ่งคำว่า “พัง” ตะคริวกิน 555555 เหตุจากเมื่อวานที่เดินเยอะไปเกินความพอดี ขาดการวอร์มอัพ เลยไม่ได้ไปไหน เลยขอนอนตื่นสาย 1 วัน จาก Matsumoto กลับเข้า Tokyo หาอะไรกินนิดหน่อย ก็มาตั้งกล้องถ่ายวัด ช่วงกลางคืนที่มีคนน้อยๆ สักหน่อย


DAY 5 – Kawaguchiko

วันที่ 5 (21 ตุลาคม 2561)

เรานั่งรถไฟจาก Shinjuku Station มาลงที่ Otsuki Station โดยใช้ JR East Pass (Nagano, Niigata) แล้วเปลี่ยนขบวนรถไฟมาลงที่ Kawaguchiko แต่เนื่องจากพาสไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เราก็ใช้บัตร Suica แตะผ่านไปได้เลย

พอมาถึง Kawaguchiko Station ด้วยพลังงานจากขนมปังและชานมที่กินมาบนรถไฟไม่พอ ร้านอาหารส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปิด เลยขอฝากความหิวไว้ที่ร้านอาหารในสถานีรถไฟไปก่อน เช้าแบบๆ นี้เมนูจะมีแต่อุด้ง เลือกอะไรมากไม่ได้ ชอบไม่ชอบก็ต้องกินละ ฮ่าาๆ [รูปในช่อง Comment นะ] มาหลายรอบก็จริงแต่ก็ยังไม่เคยทานร้านนี้ แต่ที่ชอบคือที่นั่งในร้าน มองออกไปเห็นฟูจิ วิวดีจริงๆ

การเดินทางรอบ Lake Kawaguchiko ในครั้งนี้ เราจะเช่ารถขับ แต่เวลารับรถเป็นช่วงบ่าย ดังนั้นเวลาช่วงเช้าเหลือ เลยนั่งรถบัสรอเวลาไปเรื่อยๆ ออกตัวก่อนว่าไม่เคยนั่ง ปกติแล้วจะเช่ารถยนต์ ไม่ก็จักรยาน ลองให้ครบทุกอย่างเลย เอ้าา ลุยๆ ..ขอแชะภาพบนรถ 1 รูป เก็บเป็นความประทับใจ (เช็คตารางเวลารถได้ ที่นี่)

รถบัสสายสีแดงมาสุดสายมาลงที่ป้ายสุดท้าย “Kawaguchiko Natural Living Center” ปีนี้ถือว่าโชคดีที่ว่า “หิมะ” มาปกคลุมที่ยอดฟูจิไวกว่าปกติ ฟูจิเลยสวมหมวกสวยเลย

นั่งรถบัสมา “Kawaguchiko Natural Living Center” เพื่อกินไอติมท่ามกลางแดดประหนึ่งเดือนเมษาเมืองไทย แต่ดีที่อากาศก็ยังคงเย็นอยู่

พอถึงเวลารับรถ เราก็มุ่งตรงไปที่ “Lake Saiko” เป็น 1 ใน 5 ทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและป่า มีพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์ พายเรือ ตกปลา และกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ อีกมากมาย

ขับรถไปไหนก็เจอ “Mt. Fuji”

มายืนรอแสงเย็น มาเที่ยวทีไรไม่มีรูปตัวเอง มีแต่รูปวิว เดี๋ยวแม่ด่า ส่งไปให้แม่ดูก่อน 5555

ตรงนี้ถ้าเป็นช่วง Sakura จะสวยงามเป็นพิเศษ ช่างภาพมายืนรอตรงนี้กันเยอะมาก

ช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า


DAY 6 – Kawaguchiko

วันที่ 6 (22 ตุลาคม 2561)

เช้านี้ตื่นมาตั้งแต่ตีสี่เช่นเคย ขับรถออกมารอแสงเช้าที่ “Kawaguchiko Natural Living Center” อีกครั้ง ฟูจิก็ยังคงไม่โผล่มาให้เห็นง่ายๆ นะเช้าวันนี้ พระอาทิตย์เตรียมจะยกตัวขึ้นแล้วววว…เดินออกมาจากรถ เดินย้อนกลับมาทางป้ายรถบัส“Sunnide Resort/Nagasaki Park Ent.” เดินริมน้ำมาเรื่อยๆ เก็บภาพบรรยากาศรอบๆ รอฟูจิ

เรือเป็ดมีอยู่ลำเดียวว่าเหงาแล้ว คนที่กำลังยืนถ่ายรูปตอนนี้เหงากว่าอีกกก 5555

รอไปสักพักก็เห็นเต็มๆ เลยจ้าาา

ฟูจิ กับเหล่าคอสมอสของเธอ

ใบเมเปิ้ลที่เริ่มต้นจะเปลี่ยนสี

ขอถ่ายเงาสะท้อนสักรูป

ขับรถออกจาก “Kawaguchiko Natural Living Center” ไปทาง “Lake Saiko” จะเจอมุมตรงนี้

ขอส่องยอดฟูจิสักหน่อย ใบไม้ยังไม่คอยเปลี่ยนสี แต่ก็สวยเหมือนกัน


DAY 7 – Mount Naeba

วันที่ 7 (23 ตุลาคม 2561)

เช้าวันนี้เราจะพาไปนั่งกระเช้า Dragondola ชมใบไม้เปลี่ยนสีกันที่ Mt.Naeba เมือง Yuzawa จังหวัด Niigata ส่วนใหญ่มักรู้จักกันในการมาเล่นสกีช่วงฤดูหนาวมากกว่า

วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟมาลงที่ Echigo-Yuzawa Station พอมาถึงเดินออกมาทางฝั่ง East ลงมาขึ้นรถบัสด้านล่าง ที่ป้ายเบอร์ 1 เพื่อไปลงที่ป้าย Naeba Prince Hotel

ระหว่างที่ยืนรอรถบัส ยืนมองวิวภูเขาเพลินๆ เห็นเด็กน้อยสะพายกระเป๋าคงเตรียมตัวไปโรงเรียน สักพักได้ยินเสียงกรี๊ดพร้อมกับวิ่งแล้วทิ้งกระเป๋าไว้ดังรูป นี่ก็เกือบวิ่งตามนึกว่ามีอะไร แท้จริงแล้ววิ่งไล่จับกัน เอิ่มมม -“-

นี่คือป้ายหมายเลข 1

ถึงแล้ว Naeba Prince Hotel จากนั้นก็ต้องไปยืนต่อคิวรอรถพาขึ้นไปที่จุดนั่งกระเช้

  • ระยะเวลาเปิดช่วงใบไม้เปลี่ยนสี : ต้องเช็คช่วงเปิดปิดในแต่ละปี
  • เวลาเปิด-ปิด : 09.00-16.00 น.
  • ราคาบัตร : ไป-กลับ ผู้ใหญ่ : 2600 เยน /เด็ก : 1300 เยน

พอได้ขึ้นไปนั่งกระเช้าก็จะหวาดเสียวหน่อย ตั้งแต่ take off กันเลยทีเดียว หวิวมาก ฮ่าๆ เสียดายปีนี้ใบไม้เปลี่ยนมีเปลี่ยนช้าไปหน่อย สีเลยยังไม่จัดจ้านเท่าที่ดูรูปมา

กระเช้า Dragondola เล่นระดับได้ประหนึ่งเครื่องเล่นในสวนสนุก หวาดเสียวเอาไปเลย 10/10 เหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลง มันส์สุดๆ ไปเลย

เป็นการนั่ง Gondola ที่ยาวนานมาก ~ 25 นาที ระยะทาง 5.5 กิโลเมตร เป็น Gondola ที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น เชื่อมระหว่างที่ราบสูง Naeba กับ Tashiro มาที่นี่ใจนี่ภาวนาอยากให้ฝนตกปรอยๆ ตอนถ่ายวิวจะได้สวย แต่วันที่มาแดดเปรี้ยงกันเลยทีเดียว อยากให้ลืมความคิดที่ว่าไปเที่ยวขอให้แดดสดใส บางที่มันสวยตอนมีฝนนี่แหละ ไม่เชื่อลองดูนะ : )

คนสูงอายุเดินขึ้นเขากันตัวปลิวมาก รู้สึกเขินอายเวลาถูกเดินแซ

ทะเลสาบ Tashiro

ถือว่าทริปนี้ก็ทำให้เราได้เห็นในสิ่งที่อยากจะได้เห็น สนุกเกินความคาดหมายแล้ว
ขอบคุณโอกาสดีๆ เพื่อนใหม่ๆ ความทรงจำดีๆ ระหว่างทาง

“ญี่ปุ่นครั้งเดียวไม่เคยพอ
ภคมน อลงการาภรณ์

AsakusaEchigo-YuzawaFujisanHitachi Seaside ParkIbarakiJR passKamikochiKawaguchikoKochimatsumotoMount FujiMount NaebanaganoNiigataSaikoteamlabTokyoyamanashiYuzawaฟูจิซังภูเขาฟูจิรถเช่าญี่ปุ่นเที่ยวจากโตเกียวเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมโตเกียว