S Superbrands: เที่ยวทั่วคันไซชิวๆ ช็อปแบรนด์เนมมือสอง
ขอออกตัวก่อนนะครับ นี้เป็นการเสนอตัวเองขอเขียนบทความครั้งแรกกับเพื่อนเจ้าของเวป แต่เกิดขึ้นเพื่อสนองความต้องการว่าอยากมีบทความในคอลัมน์ “เพื่อนพาเที่ยว” ที่ เที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม เป็นของตัวเองสักครั้ง เนื้อหาสาระโดยรวมก็แค่เราอยากบอกต่อประสบการณ์การเลือกซื้อของแบรนด์เนมมือสองที่ญี่ปุ่น ให้เพื่อนๆนักช็อปชาวไทย มีไอเดียและฉลาดจับจ่าย นะครับ
จากทริปที่ผ่านมา เราไปเที่ยวคันไซโดยนั่งเครื่องตรงจากไทเปสะดวกมากครับแค่ 2 ชมเองสบายๆ แต่ก่อนหน้านี้ก็ไปเที่ยวสิงค์โปร์มาคือเป็น Annual Vacation ส่วนตัวนะครับ ปีนี้เรียกได้ว่า Asia Tour สามประเทศเบาๆ แต่จัดเต็ม!!!
มาเข้าเรื่องเที่ยวญี่ปุ่นกันเลยดีกว่า ทริปนี้ผมไปอยู่ 5 คืน 6 วันนะครับ แต่ก็เที่ยวเกือบรอบเกาะคันไซกันเลยทีเดียวครับ เรียกได้ว่าไปเที่ยววันละเมืองก็ว่า โดยนอนที่ใจกลางคือโอซาก้า แล้วก็ไป โกเบ-วากายาม่า-นารา-เกียวโต นะครับ เริ่มด้วยผมไปถึงสนามบินคันไซอินเตอร์เนชันแนล ตั้งแต่เที่ยง ก็ลากกระเป๋าไปซื้อตั๋วรถไฟ JR West Rail Pass แบบสี่วัน ราคา 6000 เยน ซึ่งใช้ได้คุ้มค่ามากๆ แล้วก็นั่งรถไฟ Limited Express Haruka แบบต่อเดียวถึง เพื่อไปเจอเพื่อนรัก (เจ้าของเวป) ที่สถานี Shin-Osaka พอเราเจอกัน เราก็รีบฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่ตู้รับฝาก ราคาแค่ 500 เยน แล้วนั่งรถไฟไปเที่ยวต่อเลยที่โกเบเพื่อให้วันแรกมี Hi-light และไม่ให้เสียเวลาอันคุ้มค่าที่ญี่ปุ่น
ขอแอบบอกว่า ประโยชน์แรกที่คุยกับเพื่อนคือ “อยากได้แบรนด์เนม!!!” เพื่อนก็บอก “เดี๋ยวจัดให้ไปเลือกดูกัน ^_^ มีให้ดูทุกวันจนเบื่อแน่ๆ” “555” ในระหว่างทางก็สังเกตและบอกได้เลยนอกจากสาวญี่ปุ่นแล้วหนุ่มๆญี่ปุ่นนั้นติดแบรนด์เนมเหมือนกัน เราคนไทยก็ต้องไม่น้อยหน้า รีบทำหน้าที่ตัวแทนคนไทยคนอินเทรนด์ ดูดีดูแพงแต่มีสไตล์เริ่ดและเป๊ะเว่อร์ นะคราบ!!!
ถึงละที่โกเบมีถนน shopping เส้นหลักชื่อ Motomachi มีแบรนด์เนม Hi-end ทุกแบรนด์จากยุโรปให้เลือกแบบกระเป๋ามีฉีก แต่ทริปนี้ขอแค่เข้าไป update the latest collection ก็พอ เพราะถ้าอยากได้ของจากช็อปมือหนึ่งต้องไปช้อปที่ประเทศเจ้าของแบรนด์นั่นสิ ถึงจะคุ้มค่า ดั้งนั้นเราก็ต้องมองหาร้านแบรนด์เนมมือสองคุณภาพดีทั้งราคาและสินค้า ซึ่งมีอยู่หลายร้านทั่วคันไซเลยนะครับ
แต่ทุกคนสงสัยไมครับว่าทำไมคนญี่ปุ่นชอบใช้แบรนด์เนมกัน ก็เพราะคนญี่ปุ่นเป็นคนที่เนี๊ยบและตรงต่อเวลา เรียกได้ว่า นิสัยเป๊ะทั้งภายนอกและภายใน นะคราบ โดยจะสังเกตุเห็นได้ว่าเป็นคนพิถีพิถันในการใช้ชีวิตและเลือกของที่ดีที่สุดให้กับตัวเองนั่นเอง ซึ่งเราสามารถดูได้จากการกิน มารยาทการบริการตามร้านต่างๆ การแต่งตัวและการใช้ของที่ดูดีของหนุ่มสาวญี่ปุ่นนั่นเอง อีกทั้งสินค้าที่ญี่ปุ่นมีราคาค่อนค้างสูงมาก ค่าครองชีพก็สูง แค่เราเพิ่มเงินอีกไม่กี่พันเยนก็สามารถใช้แบรนด์เนมระดับสากลได้แล้ว เพราะบางแบรนด์อย่างเช่น Paul Smith และBurberry Black Label ก็ทำสินค้า collection เฉพาะคนญี่ปุ่นให้ซื้อกันในราคาเหมาะสมไม่สูงเวอร์เกินไป ซึ่งบ้านเราก็นำ collection only in Japan เข้ามาบ้างเช่นกัน
เอาละ ผมพาเที่ยวตามสถานที่ไม่เก่งนะครับ เลยขอแนะนำเทคนิคการเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสองคุณภาพดีจะดีกว่า อิอิ ซึ่งย่าน Shinsaibashi ในโอซาก้า ก็มีหลายร้านอยู่ แต่จากที่ survey ทั่วๆ ผมได้ข้อสรุปว่าแต่ละร้านก็มีราคาตั้งที่ได้มาตรฐานเหมือนกันอยู่แล้วและทุกร้านก็เป็นร้านปลอดภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย เพียงแสดงพาสปอร์ตให้ตอนจ่ายเงิน ก็จะได้ซื้อได้ในราคาป้ายปลอดภาษีครับ แต่ก็ต้องซื้อให้ครบ 10,000 เยนด้วยนะครับ และของที่ได้ก็ได้ถุงผ้า กล่องแข็ง การ์ด ถุงกระดาษจากแบรนด์นั้นๆที่ซื้อครบเลยครับ โดยของที่มีเยอะๆก็น่าจะเป็น Louis Vuitton, Hermes, Fendi, Chanel, Gucci, Coach, Burberry and etc. ค่อนข้างครบนะครับดังนั้นอยากให้ใจเย็นนิสนึงและใช้เทคนิคง่ายๆ 3 ข้อตามนี้นะครับ
- รู้ตัวเองก่อนว่าจริงๆอยากจะใช้อะไร ขอ List ในใจสัก 2 อย่าง เช่น กระเป๋าสะพายหรือกระเป๋าเงินทรงแบบไหน ออแกไนเซอร์ปกหนังขนาดเท่าไร ที่เก็บกุญแจ ปกพาสปอร์ ที่ใส่นามบัตร เข็มขัด รองเท้า นาฬิกา แหวน สร้อย กำไร ผ้าพันคอ คัฟลิงค์ และอื่นๆอีกมากมาย
- เดินดูของให้ครบทุกร้านในย่านนั้น โดยดูที่คุณภาพของชิ้นนั้นๆแบบเจอะลึกนะครับ ต้องลองเปิด ลองรูดซิบ ติดกระดุม ส่องดูให้ครบทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดนะครับ ที่สำคัญอยากให้ดูของสภาพใหม่เพราะเราจะได้ใช้มันนานๆแบบไม่มีตำหนิมากวนใจ และอย่าดูที่ราคานะครับเพราะลองคำนวณค่าเงินเยนเป็นไทยมันไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอครับ
- ตัดสินใจเลือกชิ้นที่มันคาใจ-คิดไม่ตก-รักพี่เสียดายน้อง-รู้สึกเอาออกจากใจไม่ได้-คิดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชิ้นนี้ละครับ จัดไป!!! ต้องซื้อกลับมาใช้ที่บ้านเราให้ได้ ^___^
เป็นอย่างไรกันบ้างคับกับเทคนิคการเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมให้โดนใจและใช้ได้นานๆ เพื่อนๆคนไทยเห็นกันอย่างนี้แล้วคราวหน้าไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็ไม่ต้องกลัวที่จะแวะเข้าไป survey ดู(อย่างละเอียด อิอิ) แล้วเลือกติดไม้ติดมือมาใช้กันที่กรุงเทพสวยๆ คงภูมิใจไม่น้อยเลยจริงไหมคราบ ^_^ เหมือนได้ของใหม่ราคาคุ้มค่า ขายต่ออาจไม่ขาดทุน มีกำไรอีกด้วยนะครับ เพราะเนื่องด้วยการแข่งขันของร้านแบรนด์เนมมือสองที่มีเยอะ ราคาจึงไม่สูงเลย แถมช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้ ยังลดเพิ่มเข้าไปอีก บอกเลยฟินๆ สำหรับคนใช้แบรนด์เนมอย่างเรา
ทริปคราวหน้าคาดว่าจะไปลุย Outlet หลายๆที่ ที่ญี่ปุ่นแล้วจะนำมาเปรียบเทียบให้ฟังนะครับ เอาแบบครั้งที่ไปตะลุย Outlet ที่ยุโรปหลายๆประเทศเลยทีเดียว รอติดตามนะครับ ฟินเวอร์+++